แคดเมียม (Cadmium) โลหะหนักภัยเงียบแสนอันตราย หากสะสมในร่างกาย เสี่ยงเป็นมะเร็ง ไตวาย กระดูกพรุน! มาทำความรู้จักถึงแหล่งที่มา วิธีป้องกัน การรักษาด้วย Chelation therapy ฟื้นฟูสุขภาพหลอดเลือด
แคดเมียม คืออะไร
แคดเมียม (Cadmium; Cd) โลหะหนักสีเงินขาว แวววาวเป็นสีน้ำเงิน มักพบปนเปื้อนในแร่ธาตุต่างๆ เช่น แร่สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง แหล่งกำเนิดหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การถลุงแร่ การผลิตแบตเตอรี่ การชุบโลหะ การผลิตพลาสติก และการผลิตสี
แคดเมียม อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร
แคดเมียมเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก การสัมผัสแคดเมียมในปริมาณสูงเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น
- ระบบทางเดินอาหาร: ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- ระบบทางเดินหายใจ: ใจสั่น หายใจลำบาก มีเสมหะเป็นเลือด ไอเรื้อรัง
- โรคร้ายแรง: มะเร็งปอด ไต กระดูก ต่อมลูกหมาก โรคไตวายเรื้อรัง กระดูกเปราะ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคอิไตอิไต โรคกระดูกจากแคดเมียมสะสม
- ระบบประสาท: สมองเสื่อม อัมพาต
- อื่นๆ: เลือดจาง
การรับสารแคดเมียม
- การหายใจ: ฝุ่นละอองจากโรงงาน ควันบุหรี่
- การกิน: อาหารทะเล ข้าว ผัก ผลไม้ ที่ปนเปื้อน
- การดื่ม: น้ำดื่มที่ปนเปื้อน
- การสัมผัสโดยตรง: ทำงานในโรงงานที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างแหล่งอาหารที่อาจปนเปื้อน
- อาหารทะเล: หอยนางรม ปลาหมึก ปลาทูน่า
- ข้าว: ปลูกในพื้นที่มลพิษทางดิน
- ผักผลไม้: ผักใบเขียว เห็ด ถั่วเหลือง
- ธัญพืช: ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์
การป้องกันสารแคดเมียม
มีหลายวิธีที่ช่วยป้องกันการสัมผัสแคดเมียม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- กินอาหารที่หลากหลาย
- เลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่ปลอดภัย
- ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร
- ดื่มน้ำสะอาด
- สวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง
การรักษา
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปริมาณแคดเมียมที่ได้รับ ระยะเวลาในการสัมผัส และอาการ
- แพทย์อาจให้ยาขับแคดเมียม เช่น Chelation therapy
- รักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
- ฟอกเลือด
Chelation Therapy การกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย
คีเลชั่น คือวิธีการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้สารเคมีชนิดหนึ่งเรียกว่า EDTA (กรดอีธิลีนไดอะมีนเทตราอะซิติก) ผสมลงในน้ำเกลือที่หยดเข้าเส้นเลือด วิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อล้างสารโลหะหนักออกจากร่างกาย โดย EDTA จะทำหน้าที่จับกับโลหะหนักเช่นตะกั่ว ปรอท และสารหนู รวมทั้งแคลเซียมส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด แล้วขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
การให้น้ำเกลือคีเลชั่นจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยสามารถพักผ่อน ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงได้ตามปกติ และหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ผู้ป่วยก็สามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม
คีเลชั่น (Chelation) เหมาะกับใครบ้าง?
การรักษาด้วยคีเลชั่นอาจเหมาะสมกับกลุ่มผู้ป่วยดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด – รวมถึงผู้ที่มีสภาพแวดล้อมหรือพฤติกรรมที่เพิ่มระดับของสารอนุมูลอิสระ เช่น การดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ รวมทั้งผู้ที่ใช้ฟันอมัลกัมที่มีโลหะหนัก
- ผู้ที่มีปัญหาสารพิษโลหะสะสมในร่างกาย – เช่น ผู้ที่ได้รับสารพิษโลหะจากสิ่งแวดล้อมหรือจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีโลหะหนัก
- ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอและมีปัญหาการไหลเวียนเลือด – รวมถึงผู้ที่มักจะเวียนหัวหรือรู้สึกไม่สบายง่ายเนื่องจากการไหลเวียนโลหิตที่ไม่เพียงพอ
- ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง – โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดที่ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุดตันหลอดเลือด
- ผู้ที่ต้องการการป้องกัน – ผู้ที่แข็งแรงดีแต่ต้องการลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดตีบตันหรือโรคมะเร็ง ผ่านการขจัดสารพิษและโลหะหนักจากร่างกาย
- ผู้ที่เคยทำการรักษาเส้นเลือดหัวใจ – เช่น การทำบอลลูนหรือการใส่ขดลวดเส้นเลือด เพื่อลดการอุดตันซ้ำในอนาคต
การรักษาด้วยคีเลชั่นควรดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะมีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
การเตรียมตัวก่อนทำคีเลชั่น (Chelation)
ก่อนเริ่มการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสุขภาพทั่วไปและตรวจผลเลือดเพื่อประเมินสภาพการทำงานของไตและหลอดเลือด ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ว่าคีเลชั่นเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมหรือไม่ และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย
การทำคีเลชั่น (Chelation)
ผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยา EDTA ทางหลอดเลือด โดยแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างการให้ยา, ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารเบาๆ เช่น ขนม, ผลไม้, เครื่องดื่ม และสามารถชมรายการโทรทัศน์ไปในตัว
ควรทำ คีเลชั่น (Chelation) บ่อยแค่ไหน
จำนวนครั้งและความถี่ของการรักษาคีเลชั่นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และสภาพโรคของผู้ป่วย โดยปกติจะมีการประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุด
ผลข้างเคียงในการทำ คีเลชั่น (Chelation)
การใช้ EDTA ในการรักษาคีเลชั่นถือว่าปลอดภัยตามการยอมรับของแพทย์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียหลังการรักษา ซึ่งสามารถบรรเทาได้โดยการดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ควรดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
การรักษาด้วยคีเลชั่นต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เพื่อประเมินผลข้างเคียงและปรับปรุงแผนการรักษาตามความจำเป็น