เมตาบอลิซึมของเราช้าลงจริงหรือ?
หลายคนเชื่อว่าหลังจากอายุ 30 หรือ 40 ปี อัตราการเผาผลาญของร่างกายจะช้าลง ทำให้เราอ้วนขึ้นง่ายขึ้น แต่ความจริงคือ เมตาบอลิซึมของเรายังคงค่อนข้างคงที่จนถึงอายุประมาณ 60 ปี แล้วทำไมเราถึงยังมีแนวโน้มที่จะน้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกข้อเท็จจริงที่ Andrew Huberman ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับ เมตาบอลิซึมและวัยที่เพิ่มขึ้น
1. เมตาบอลิซึมไม่ได้ช้าลงในวัย 30 หรือ 40 ปี
มีความเชื่อผิด ๆ ว่าหลังจากอายุ 30 ปี อัตราการเผาผลาญของร่างกายจะเริ่มลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราอ้วนขึ้น แต่จากการวิจัยพบว่า อัตราการเผาผลาญของคนเราจะยังคงที่จนถึงอายุประมาณ 60 ปี นั่นหมายความว่า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดจากเมตาบอลิซึมที่ช้าลง แต่อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป
2. ทำไมเราถึงน้ำหนักขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น?
ถึงแม้เมตาบอลิซึมจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก แต่หลายปัจจัยในชีวิตของเราเปลี่ยนไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น:
- การใช้ชีวิตที่อยู่กับที่มากขึ้น – งานที่ต้องนั่งโต๊ะนาน ๆ หรือกิจวัตรประจำวันที่ลดกิจกรรมทางกายลง ทำให้เราขยับตัวน้อยลง
- อาหารที่เปลี่ยนไป – คนเรามักจะกินอาหารที่มีพลังงานสูงขึ้นเมื่อฐานะดีขึ้น เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือเครื่องดื่มหวาน ๆ
- มวลกล้ามเนื้อลดลง – กล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่เผาผลาญพลังงานมากที่สุดของร่างกาย เมื่อเราออกกำลังกายน้อยลง หรืออายุเพิ่มขึ้นโดยไม่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ อัตราการเผาผลาญของเราจะลดลงไปโดยอัตโนมัติ
จากการศึกษาพบว่า คนทั่วไปอายุ 20-50 ปี มีแนวโน้มที่จะน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 15 กิโลกรัม หรือเฉลี่ยปีละ 1-2 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมสะสม ไม่ใช่เพราะระบบเผาผลาญที่เสื่อมลงแต่อย่างใด!
3. หลังอายุ 60 ปี อัตราการเผาผลาญจะเริ่มลดลงจริง
แม้ว่าอัตราการเผาผลาญจะค่อนข้างคงที่ก่อนอายุ 60 แต่หลังจากนั้น ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญพลังงานน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ “พุงวัยกลางคน” หรือไขมันสะสมบริเวณรอบเอว ที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ เพราะร่างกายเริ่มเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง และการใช้ชีวิตก็มักจะเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าเดิม
4. วิธีป้องกันน้ำหนักขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
- สร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อเป็นตัวช่วยหลักในการรักษาอัตราการเผาผลาญ ควรออกกำลังกายแบบต้านแรง (Resistance Training) เช่น เวทเทรนนิ่ง หรือโยคะ เพื่อรักษากล้ามเนื้อไว้
- คลื่อนไหวให้มากขึ้น – หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ พยายามขยับร่างกายบ่อยขึ้น เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือเดินเล่นระหว่างทำงาน
- เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ – ลดการกินอาหารที่มีแคลอรีสูงแต่สารอาหารต่ำ เช่น น้ำตาลและของทอด และเพิ่มโปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันดีเข้าไปในมื้ออาหาร
- ควบคุมปริมาณอาหารที่กินเข้าไป – เมื่อเราอายุมากขึ้น ความต้องการพลังงานของร่างกายจะลดลงเล็กน้อย ดังนั้นควรปรับปริมาณอาหารให้เหมาะสม ไม่กินมากเกินไป
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ – บางครั้งร่างกายส่งสัญญาณหิว แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพราะขาดน้ำ ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวัน
5. BPC-157 Peptide สามารถช่วยได้หรือไม่?
มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ BPC-157 แต่จริง ๆ แล้ว เปปไทด์ที่ได้รับความสนใจมากกว่าคือ BPC-157 ซึ่งถูกวิจัยว่ามีศักยภาพในการช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ
BPC-157 อาจช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบย่อยอาหาร แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันผลในมนุษย์อย่างชัดเจน
มีความกังวลว่ามันอาจ กระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis)
BPC-157 ไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในมนุษย์จากองค์กรกำกับดูแล เช่น FDA และถูกแบนโดยองค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้น (WADA)
ดังนั้น แม้ว่า BPC-157 อาจมีศักยภาพในการช่วยซ่อมแซมร่างกาย แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้สารใด ๆ ที่ยังไม่ได้รับการรับรอง
6. สรุป: เมตาบอลิซึมไม่ได้เป็นตัวการหลักของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น!
- อัตราการเผาผลาญของเรายังคงค่อนข้างคงที่จนถึงอายุ 60 ปี การที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นก่อนหน้านั้นมาจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะระบบเผาผลาญช้าลง
- หลังอายุ 60 ปี เมตาบอลิซึมเริ่มลดลงจริง แต่เราสามารถป้องกันผลกระทบได้ด้วยการ รักษามวลกล้ามเนื้อและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
- BPC-157 อาจมีศักยภาพช่วยซ่อมแซมร่างกาย แต่ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจนและมีความเสี่ยง
ถ้าคุณต้องการรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนักให้ดีขึ้น อย่าลืมเริ่มสร้างกล้ามเนื้อ เคลื่อนไหวมากขึ้น และเลือกอาหารที่เหมาะสมตั้งแต่วันนี้!