การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหนึ่งในวิธีเสริมความงามยอดนิยมที่ช่วยลดรอยคล้ำ เติมเต็มร่องลึก และ เพิ่มความสดใสให้ดวงตาดูอ่อนวัยในทันที แต่สำหรับคนที่เพิ่งทำครั้งแรก อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับอาการหลังทำ เช่น บวม แดง หรือช้ำ ดังนั้น การเข้าใจถึงอาการที่ปกติและอาการที่ควรระวังจะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้ดีขึ้น และ ได้รับผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและสวยงาม

อาการปกติ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีอาการเล็กน้อยที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และ จะค่อยๆ หายไปในเวลาไม่นาน ได้แก่

  1. บวมเล็กน้อย
    บริเวณใต้ตาอาจมีอาการบวมในช่วง 1-3 วันแรก เนื่องจากเข็มที่ใช้ฉีด และ ตัวฟิลเลอร์ที่เพิ่งถูกใส่เข้าไปในผิว อาการนี้จะลดลงเองโดยไม่ต้องกังวล
  2. รอยแดงจุดเล็กๆ
    เป็นรอยที่เกิดจากการฉีดเข็ม และ จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  3. อาการคันหรือรู้สึกตึงใต้ตา
    รู้สึกคันเล็กน้อยหรือตึงๆ บริเวณที่ฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์กำลังเข้าที่ในชั้นผิว
  4. ช้ำเล็กน้อย
    บางคนอาจมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลจากเส้นเลือดฝอยที่ถูกกระทบในระหว่างการฉีด รอยช้ำมักจะหายไปภายใน 5-7 วัน

อาการที่ควรระวัง หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

แม้อาการส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและหายไปเอง แต่หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที:

  1. บวมแดงมากผิดปกติ
    หากอาการบวมแดงลุกลามเกิน 3 วัน และรู้สึกร้อนหรือเจ็บบริเวณที่ฉีด อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  2. ก้อนแข็งหรือไม่เรียบใต้ตา
    หากสัมผัสได้ถึงก้อนแข็ง หรือเห็นเป็นคลื่นใต้ตา อาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่กระจายตัว หรือฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม
  3. อาการปวดรุนแรง
    หากมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องหรือรุนแรง อาจบ่งบอกถึงการอุดตันของหลอดเลือด หรือการกดทับหลอดเลือดบริเวณใต้ตา
  4. ฟิลเลอร์ไหลไปยังบริเวณอื่น
    ฟิลเลอร์ที่ฉีดอาจเคลื่อนไปยังบริเวณอื่น ทำให้เกิดอาการบวมผิดที่ เช่น บวมที่แก้มหรือถุงใต้ตา
  5. การมองเห็นผิดปกติ
    หากเกิดอาการตาพร่า หรือสูญเสียการมองเห็นในบางส่วน อาจเป็นสัญญาณของการอุดตันในเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับดวงตา ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากอาการข้างเคียง คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการกดหรือถูบริเวณใต้ตา
    ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
  2. ประคบเย็นเบาๆ
    ช่วยลดอาการบวมและช้ำ ควรทำในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
  3. ดื่มน้ำมากๆ
    การดื่มน้ำช่วยให้ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid อุ้มน้ำได้ดี และผลลัพธ์คงอยู่นานขึ้น
  4. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้หน้าเผชิญความร้อน
    เช่น ซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  5. ใช้ยาตามคำแนะนำแพทย์
    เช่น ยาแก้ปวดหรือยาลดบวม หากจำเป็น

ความเสี่ยงที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมหรือฉีดในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่

  1. การอุดตันของหลอดเลือด
    หากฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในหลอดเลือดโดยตรง อาจทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งในกรณีร้ายแรงอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนโลหิตและทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเสียหายได้ หากเกิดขึ้น ต้องได้รับการรักษาทันที
  2. การติดเชื้อ
    การฉีดฟิลเลอร์ในสถานที่ที่ไม่สะอาดหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักแสดงอาการเป็นบวมแดงและปวดรุนแรง
  3. ฟิลเลอร์เป็นก้อน
    หากฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป หรือฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนัง ทำให้ดูไม่เรียบเนียน
  4. อาการแพ้
    แม้จะพบได้น้อย แต่บางคนอาจเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ เช่น มีผื่นแดงหรือบวมผิดปกติ หากเกิดอาการนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

เคล็ดลับการดูแลผลลัพธ์ให้ยาวนาน

แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถสลายไปเองตามธรรมชาติ แต่การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นและดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ

  1. ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
    Hyaluronic Acid ในฟิลเลอร์จะอุ้มน้ำได้ดี การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นและฟิลเลอร์คงรูปได้นาน
  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสร้อนจัด
    การสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือแดดจัด อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
  3. ดูแลผิวใต้ตาเป็นพิเศษ
    ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับบริเวณใต้ตา เช่น เซรั่มหรือครีมที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยคล้ำและบำรุงความยืดหยุ่นของผิว
  4. ตรวจเช็คกับแพทย์เป็นระยะ
    การกลับไปตรวจเช็คผลลัพธ์กับแพทย์จะช่วยให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และปรับแต่งเพิ่มเติมได้หากจำเป็น

ฟิลเลอร์ใต้ตา การเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม

การเลือกชนิดฟิลเลอร์สำหรับการฉีดใต้ตาเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย โดยฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับบริเวณใต้ตาต้องมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม เพื่อให้เข้ากับบริเวณผิวที่บางและบอบบางที่สุดของใบหน้า

ชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับใต้ตา

  1. Hyaluronic Acid (HA) Filler
    ฟิลเลอร์ประเภทนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะสามารถปรับแต่งรูปทรงได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นดี ฟิลเลอร์ HA ยังสามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติ และในกรณีที่ต้องการแก้ไข แพทย์สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อสลายฟิลเลอร์ได้อย่างปลอดภัย ยี่ห้อที่ได้รับความนิยม เช่น Juvederm, Restylane และ Belotero
  2. ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเล็ก
    สำหรับใต้ตา ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเล็ก เนื้อบางเบา เพื่อป้องกันการเกิดก้อนและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น Restylane Refyne หรือ Juvederm Volbella
  3. ฟิลเลอร์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ HA
    ในบางกรณี แพทย์อาจใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ใช่ HA เช่น Poly-L-Lactic Acid หรือ Calcium Hydroxylapatite อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์เหล่านี้ไม่สามารถสลายได้ง่ายหากเกิดข้อผิดพลาด ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและมั่นใจในแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีเสริมความงามที่ช่วยแก้ปัญหาร่องลึก รอยคล้ำ และเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า อาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยหลังฉีดถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากพบอาการรุนแรง เช่น บวมแดงมาก เจ็บผิดปกติ หรือการมองเห็นผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

อย่าลืมเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำ เพื่อให้คุณมั่นใจและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจที่สุด!

อ่านบทความอื่นเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ ได้ที่นี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *