มัทฉะ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น และกำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและคุณประโยชน์มากมาย หลายคนหันมาดื่มมัทฉะทุกวันแทนชาเขียวแบบทั่วไป แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า หากเราดื่มมัทฉะทุกวัน จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย? และ มัทฉะแตกต่างจากชาเขียวธรรมดาอย่างไร?
มัทฉะคืออะไร? ต่างจากชาเขียวธรรมดาอย่างไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวชนิดหนึ่งที่ผ่านกระบวนการบดละเอียดจนเป็นผง และถูกใช้ในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีความแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปในด้านต่อไปนี้:
- กระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยว
- มัทฉะมาจากต้นชา เทนฉะ (Tencha) ซึ่งปลูกภายใต้ร่มเงา 20-30 วันก่อนเก็บเกี่ยว ทำให้ใบชามีคลอโรฟิลล์สูง และให้สีเขียวสด
- ชาเขียวทั่วไปไม่ได้ผ่านกระบวนการนี้ จึงมีสีอ่อนกว่าและสารอาหารบางชนิดอาจน้อยลง
- วิธีการบริโภค
- มัทฉะใช้การชงโดยการตีผงชากับน้ำร้อน ทำให้ได้รับสารอาหารจากใบชาแบบเต็มที่
- ชาเขียวทั่วไปใช้การชงแบบแช่ใบ แล้วกรองเอาน้ำดื่ม ซึ่งอาจทำให้สารอาหารบางส่วนสูญเสียไป
- ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีน
- มัทฉะมี สารต้านอนุมูลอิสระ คาเทชิน (Catechin) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) สูงกว่าชาเขียวธรรมดา
- มีคาเฟอีนมากกว่าชาเขียวทั่วไป แต่ให้พลังงานที่คงที่ ไม่ทำให้ร่างกายตื่นตัวจนเกินไป
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มมัทฉะทุกวัน?
1. ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระสูงขึ้น
มัทฉะอุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอล เช่น EGCG (Epigallocatechin Gallate) ซึ่งช่วยลดการอักเสบ ชะลอวัย และป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
เทียบกับชาเขียว: มัทฉะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 137 เท่า ตามผลการศึกษาบางฉบับ
2. เพิ่มพลังงานและความตื่นตัว
มัทฉะมีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ (~70 มก. ต่อถ้วย) ช่วยเพิ่มพลังงานโดยไม่ทำให้ใจสั่นเหมือนกาแฟ เพราะมี แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และเพิ่มสมาธิ
เทียบกับชาเขียว: ชาเขียวมีคาเฟอีนต่ำกว่า (~30 มก. ต่อถ้วย) จึงให้พลังงานน้อยกว่า
3. ช่วยควบคุมน้ำหนักและกระตุ้นการเผาผลาญ
EGCG ในมัทฉะมีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ถึง 17% และช่วยลดความอยากอาหาร
เทียบกับชาเขียว: แม้ว่าชาเขียวจะช่วยเรื่องเผาผลาญไขมันเช่นกัน แต่มัทฉะมีความเข้มข้นของสารนี้สูงกว่า
4. ดีต่อสุขภาพสมองและช่วยพัฒนาความจำ
การดื่มมัทฉะทุกวันช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มสมาธิ ลดความเครียด และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
เทียบกับชาเขียว: มัทฉะมีแอล-ธีอะนีนมากกว่าชาเขียว ทำให้ช่วยให้สมองผ่อนคลายและมีสมาธิดีกว่า
5. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิต
สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ส่งผลดีต่อหัวใจ
เทียบกับชาเขียว: ชาเขียวมีประโยชน์ต่อหัวใจเช่นกัน แต่มัทฉะให้สารอาหารมากกว่าเพราะดื่มทั้งใบชา
6. ดีต่อสุขภาพผิว
มัทฉะมี คลอโรฟิลล์สูง ซึ่งช่วยดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย ลดการเกิดสิว และทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส
เทียบกับชาเขียว: ชาเขียวช่วยลดการอักเสบของผิวเช่นกัน แต่มัทฉะมีความเข้มข้นของสารอาหารสูงกว่า
ข้อควรระวังในการดื่มมัทฉะทุกวัน
แม้มัทฉะจะมีประโยชน์มากมาย แต่การดื่มในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาบางอย่าง เช่น:
- คาเฟอีนสูงเกินไป – หากดื่มมากเกิน 2-3 แก้วต่อวัน อาจทำให้นอนไม่หลับหรือใจสั่นได้
- อาจมีสารตะกั่วสะสม – ใบชามัทฉะสามารถดูดซับสารโลหะหนักจากดิน ดังนั้นควรเลือกมัทฉะคุณภาพสูงจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้
- ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง – เพราะอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
เคล็ดลับในการดื่มมัทฉะให้ได้ประโยชน์สูงสุด
หากคุณตัดสินใจที่จะดื่มมัทฉะเป็นประจำทุกวัน ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากมัทฉะ และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
1. เลือกมัทฉะคุณภาพสูง
มัทฉะมีหลายเกรดให้เลือก โดยหลักๆ จะแบ่งเป็น Ceremonial Grade (เกรดพิธีชงชา) และ Culinary Grade (เกรดสำหรับทำอาหาร)
- Ceremonial Grade เหมาะสำหรับการชงดื่มโดยตรง มีรสชาติกลมกล่อม นุ่มนวล และสารอาหารสูงกว่า
- Culinary Grade เหมาะสำหรับนำไปทำขนมหรือผสมในเครื่องดื่ม แต่รสชาติอาจจะขมกว่าและคุณภาพต่ำกว่า
แนะนำให้เลือกมัทฉะจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ เช่น ญี่ปุ่น (อูจิ, เกียวโต, ชิซุโอกะ) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมัทฉะที่ดีที่สุดในโลก
2. ชงมัทฉะอย่างถูกวิธี
เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ควรชงมัทฉะโดยใช้วิธีที่ถูกต้อง:
- ใช้น้ำอุณหภูมิ 70-80°C (ไม่ควรใช้น้ำร้อนเดือด 100°C เพราะจะทำให้มัทฉะมีรสขม)
- ใช้แปรงชงชา (Chasen) ตีให้เข้ากัน เป็นวงกลมจนเกิดฟองละเอียด
- สามารถเพิ่มนม (Plant-based Milk) หรือสารให้ความหวานธรรมชาติได้ หากต้องการรสชาติที่นุ่มนวลขึ้น
3. ควบคุมปริมาณการดื่ม
แม้ว่ามัทฉะจะมีประโยชน์ แต่การดื่มมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น หรือปัญหากระเพาะอาหาร แนะนำให้ดื่ม วันละ 1-2 แก้ว จะดีที่สุด
4. ดื่มมัทฉะในเวลาที่เหมาะสม
- ช่วงเช้าหรือก่อนเที่ยง – ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มสมาธิ
- ก่อนออกกำลังกาย – เพิ่มพลังงานและช่วยเผาผลาญไขมัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มช่วงเย็นหรือก่อนนอน – เพราะคาเฟอีนในมัทฉะอาจทำให้นอนไม่หลับ
5. ทานคู่กับอาหารที่มีวิตามินซี
วิตามินซีช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระจากมัทฉะได้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้ทานควบคู่กับผลไม้ เช่น ส้ม กีวี หรือเบอร์รี่
6. หลีกเลี่ยงน้ำตาลและครีมเทียม
หากคุณต้องการดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล หรือใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง หญ้าหวาน หรืออินทผลัม
สรุป: หากคุณต้องการเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน ช่วยเผาผลาญไขมัน และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มัทฉะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากต้องการชาเขียวที่ดื่มง่าย และคาเฟอีนต่ำกว่า ชาเขียวธรรมดาก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี
ดื่มมัทฉะทุกวันดีไหม? คำตอบคือ ดีมาก หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกมัทฉะคุณภาพดี ลองเปลี่ยนจากกาแฟหรือชาเขียวทั่วไปมาเป็นมัทฉะ แล้วคุณอาจสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในร่างกาย!