โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis หรือ RA) เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักโรคนี้ให้ลึกซึ้งขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา ไปจนถึงคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้คุณรับมือได้อย่างมีข้อมูลและเข้าใจอย่างแท้จริง
โรครูมาตอยด์คืออะไร?
โรครูมาตอยด์ คือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease) ที่ร่างกายของเราสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้อต่อ โดยเฉพาะเยื่อบุข้อ (Synovial membrane) ทำให้เกิดการอักเสบ เจ็บ บวม และเสื่อมของข้อในระยะยาว
โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่มักเริ่มต้นในวัยกลางคน และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2-3 เท่า หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้ข้อเสียหายถาวรและเกิดความพิการได้
โรครูมาตอยด์เกิดจากอะไร?
แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรครูมาตอยด์ ได้แก่:
พันธุกรรม
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรครูมาตอยด์จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มียีน HLA-DR4 หรือ HLA-DR1
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดและมองว่าเยื่อบุข้อต่อเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงเกิดการอักเสบเรื้อรัง

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
- การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดโรค
- การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- ฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีบทบาท ทำให้พบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่า
อาการของโรครูมาตอยด์ที่ควรระวัง
โรคนี้มีลักษณะเด่นคือข้ออักเสบที่เกิดขึ้นเรื้อรัง มีอาการเฉพาะที่และอาการระบบรวม โดยมีอาการที่ควรสังเกต ได้แก่:
อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย
- ข้ออักเสบที่ ข้อเล็ก ๆ เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ทั้งสองข้าง
- อาการข้อติดตอนเช้า นานเกิน 30 นาที
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะขณะพัก
- เหนื่อยง่าย มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
อาการที่พัฒนาในระยะต่อมา
- ข้อบวม แดง ร้อน
- ข้อผิดรูป (Deformity) เช่น นิ้วเบี้ยว
- สูญเสียการใช้งานของข้อ
- ก้อนใต้ผิวหนัง (Rheumatoid nodules) บริเวณข้อศอกหรือแขน
การรักษาโรครูมาตอยด์
แม้โรครูมาตอยด์จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่การวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยชะลอความรุนแรงและควบคุมอาการได้ดีมาก
การใช้ยา
- ยาแก้อักเสบ (NSAIDs): บรรเทาอาการปวดและบวม เช่น ibuprofen, naproxen
- ยากดภูมิคุ้มกัน (DMARDs): เช่น methotrexate ช่วยชะลอความเสียหายของข้อ
- ชีววัตถุ (Biologics): เป็นยากลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมอาการในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาทั่วไป เช่น adalimumab, etanercept
การทำกายภาพบำบัด
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ ป้องกันข้อยึดติด และฟื้นฟูสมรรถภาพการใช้งาน
การผ่าตัด (เฉพาะราย)
เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ หรือซ่อมแซมโครงสร้างของข้อในรายที่ข้อเสียหายรุนแรง
โรครูมาตอยด์รักษาหายขาดได้ไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรครูมาตอยด์ให้หายขาด แต่การรักษาสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในระยะสงบ (remission) ได้ หากได้รับการดูแลตั้งแต่ระยะแรก
ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ด้วยการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมปัจจัยเสี่ยง และเข้ารับการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง
รูมาตอยด์กับโรคอื่น ๆ ที่มักเกิดร่วมกัน
โรครูมาตอยด์ไม่ได้กระทบแค่ข้อเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น:
โรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ป่วยมีโอกาสเป็น หลอดเลือดแข็งตัว และ โรคหัวใจขาดเลือด มากกว่าคนทั่วไป
- อาการอักเสบเรื้อรังเป็นตัวกระตุ้นให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น
ภาวะกระดูกพรุน
- การใช้ยาสเตียรอยด์ และการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ มวลกระดูกลดลง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหักในผู้สูงอายุ
โรคซึมเศร้าและผลกระทบด้านจิตใจ
- ความเจ็บปวดเรื้อรังและการสูญเสียความสามารถในการทำกิจกรรม อาจนำไปสู่ภาวะ ซึมเศร้า และ วิตกกังวล
- การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาและการสนับสนุนทางสังคมมีความสำคัญอย่างมาก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรครูมาตอยด์ (FAQ)
โรครูมาตอยด์ติดกันได้ไหม?
ไม่ติด โรครูมาตอยด์ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ เพราะเป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากภายในร่างกาย
ถ้าหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่?
มีโอกาสกลับมาเป็นได้ แม้ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะสงบ แต่โรคอาจกลับมาแสดงอาการใหม่ (flare) ได้ หากหยุดยาหรือมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด การติดเชื้อ หรือเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ต้องกินยาตลอดชีวิตไหม?
ในกรณีส่วนใหญ่ ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง แม้ไม่มีอาการชัดเจน การหยุดยาโดยพลการอาจทำให้โรคกลับมากำเริบและข้อเสียหายถาวร การปรับลดหรือหยุดยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
สรุป
โรครูมาตอยด์เป็นโรคเรื้อรังที่มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยอย่างมาก การรู้เท่าทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นมีส่วนสำคัญในการป้องกันข้อเสียหายถาวรและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลอย่างต่อเนื่องและใส่ใจในสุขภาพทั้งกายและใจจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข