โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) สัญญาณเตือนก่อนอัมพาต รู้ทัน ป้องกันได้!

หัวข้อในบทความนี้

โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “สโตรก (Stroke)” เป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตคนไทยและทั่วโลกมากที่สุดอันดับต้น ๆ และมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว หลายกรณีเพียงไม่กี่นาทีสามารถเปลี่ยนชีวิตจาก “สุขภาพดี” เป็น “อัมพาต” ได้ทันที

แม้ฟังดูน่ากลัว แต่ข่าวดีคือ โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ หากเราเข้าใจสาเหตุ สัญญาณเตือน และดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มี เบาหวาน ความดันสูง หรือไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคนี้

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คืออะไร?

ความหมายและความสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง คือภาวะที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ตามปกติ ทำให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร ส่งผลให้เซลล์สมองเริ่มตายภายในไม่กี่นาที
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดอัมพาตถาวร หรือเสียชีวิตได้

ความแตกต่างระหว่างเส้นเลือดสมองตีบและแตก

โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • หลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) – เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ พบได้ประมาณ 80% ของผู้ป่วยทั้งหมด
  • หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) – เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ทำให้เลือดไหลออกไปกดทับเนื้อสมอง ซึ่งมักมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้รวดเร็ว

ทำไมจึงเป็น “ภัยเงียบ” ที่พบมากขึ้นในวัยทำงาน

สมัยก่อน โรคนี้มักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันพบในคนวัยทำงานมากขึ้น เพราะปัจจัยเสี่ยงอย่าง ความเครียด เบาหวาน ระดับน้ำตาลสูง ไขมันในเลือดสูง และการนอนน้อย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จึงไม่เกินจริงที่จะเรียกโรคนี้ว่า “ภัยเงียบที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด”

สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองที่ต้องรู้ (FAST Test)

หนึ่งในวิธีจำง่าย ๆ ว่าคนใกล้ตัวอาจกำลังเกิดโรคหลอดเลือดสมองคือ FAST Test ซึ่งเป็นการสังเกตอาการเตือน 4 ข้อหลัก

F – หน้าเบี้ยว (Face Drooping)

ให้สังเกตว่ามุมปากหรือใบหน้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งตกลงหรือไม่ เมื่อให้ยิ้มอาจยิ้มได้ไม่เท่ากัน

A – แขนขาอ่อนแรง (Arm Weakness)

ให้ยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง หากยกแขนข้างหนึ่งไม่ขึ้นหรือหล่นลง ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ

S – พูดไม่ชัด พูดลำบาก (Speech Difficulty)

พูดติดขัด พูดคำไม่ชัด หรือพูดแล้วคนฟังไม่เข้าใจ อาจบ่งบอกถึงภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน

T – เวลา คือสิ่งสำคัญที่สุด (Time to Call)

หากพบอาการดังกล่าว ต้องรีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที เพราะ “เวลาทอง” ของผู้ป่วย Stroke คือภายใน 3–4.5 ชั่วโมงแรก ที่จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ผลดีที่สุด

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

ความดันโลหิตสูง

เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะความดันสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและแตกได้ง่าย

เบาหวาน

ผู้ที่เป็น เบาหวาน จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบง่าย ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง

ไขมันในเลือดสูง

ไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ที่สูงเกินไปจะสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตัน หากไม่ได้ ลดไขมัน หรือควบคุมอย่างต่อเนื่อง จะเพิ่มโอกาสเกิดเส้นเลือดสมองตีบ

โรคหัวใจและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

หัวใจที่เต้นผิดจังหวะอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งสามารถหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมองได้

สูบบุหรี่ ความเครียด และนอนน้อย

พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อระบบหลอดเลือดโดยตรง ทั้งทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มการอักเสบ และรบกวนระดับน้ำตาลในเลือด

โรคหลอดเลือดสมอง

หากมีสัญญาณเตือน ต้องทำอย่างไร?

การเข้ารับการรักษาภายใน “เวลาทอง”

เมื่อพบอาการผิดปกติ ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันทีภายใน 3 ชั่วโมงแรก เพราะการรักษาเร็วช่วยลดความเสียหายของสมองได้มากกว่า 70%

ความสำคัญของการไปโรงพยาบาลทันที

อย่ารอให้อาการดีขึ้นเอง เพราะยิ่งช้า โอกาสที่สมองจะกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพจะลดลง การให้ ยาละลายลิ่มเลือด (rt-PA) หรือการทำ หัตถการเปิดหลอดเลือด (Thrombectomy) ต้องทำในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น

การรักษาโรคหลอดเลือดสมองในปัจจุบัน

การตรวจ CT/MRI

เป็นการตรวจที่ช่วยยืนยันชนิดของโรค (ตีบหรือแตก) และหาตำแหน่งของหลอดเลือดที่อุดตัน เพื่อวางแผนการรักษาได้ถูกต้อง

การให้ยาละลายลิ่มเลือด

กรณีหลอดเลือดตีบ การให้ยาละลายลิ่มเลือดในช่วงเวลา “Golden Hour” จะช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนและลดการตายของเซลล์สมอง

การทำหัตถการเปิดหลอดเลือด

ในบางกรณี แพทย์อาจใช้เทคนิคทางรังสีสอดสายเข้าไปเปิดหลอดเลือด (Endovascular Treatment) เพื่อเอาลิ่มเลือดออกโดยตรง

การฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัด

หลังผ่านช่วงวิกฤติแล้ว ผู้ป่วยต้องได้รับการฟื้นฟู เช่น ฝึกพูด ฝึกเดิน และกายภาพบำบัด เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงเดิมมากที่สุด

วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมองด้วยตัวเอง

ควบคุมความดัน–น้ำตาล–ไขมัน

ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ รักษาระดับ น้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ และ ลดไขมันในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติ เบาหวานหรือโรคหัวใจ

ปรับอาหาร ลดเค็ม ลดน้ำตาล ลดไขมันอิ่มตัว

หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด เค็มจัด หรือหวานจัด เพราะส่งผลต่อระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดโดยตรง ควรเลือกทานผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสีมากขึ้น

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดัน และระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น

งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และลดความเครียด

บุหรี่และแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองอย่างมาก การเลิกพฤติกรรมเหล่านี้คือก้าวแรกของการป้องกัน

ตรวจสุขภาพประจำปี

อย่ารอให้มีอาการ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีเบาหวาน ความดันสูง หรือมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

บริการของเรา

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง

Q: โรคหลอดเลือดสมองป้องกันได้ไหม?
A: ได้ หากควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือด และพฤติกรรมการกินอยู่

Q: เบาหวานเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร?
A: ผู้ที่มีเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งและตีบง่าย เพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง

Q: หากน้ำตาลในเลือด 140 ถือว่าเสี่ยงหรือไม่?
A: หากเป็นค่าน้ำตาลหลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง ถือว่าเริ่มสูง ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดระดับน้ำตาลให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ

Q: ควรตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหนเพื่อป้องกัน Stroke?
A: ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุก 6 เดือนสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง

อ้างอิง
American Stroke Association – “The F.A.S.T. Experience


Contact Siam Clinic Phuket