กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) คือ ภาวะที่กระดูกสันหลังของบุคคลบิดเบี้ยวหรือโค้งไปด้านข้างมากกว่าปกติ โดยทั่วไปกระดูกสันหลังจะมีลักษณะตรงเมื่อมองจากด้านหลัง แต่ในผู้ที่เป็นโรคนี้จะเห็นว่ากระดูกสันหลังมีการเอียงเป็นรูปตัว “C” หรือ “S” ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว รวมถึงการเคลื่อนไหวและอวัยวะภายในบางระบบ
กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) คืออะไร
ลักษณะของโรค
กระดูกสันหลังคดเกิดจากการบิดเบี้ยวของกระดูกสันหลังในแนวด้านข้าง (Lateral curvature) โดยอาจโค้งไปด้านซ้าย หรือ ขวา และ บางครั้งมีการบิดหมุนร่วมด้วย เมื่อมองจากด้านหน้าอาจไม่เห็นความผิดปกติชัดเจน แต่เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นว่ากระดูกสันหลังเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือมีไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน สะโพกเอียง หรือมีโหนกหลังโผล่ออกมาในบางท่าทาง
ประเภทของกระดูกสันหลังคด
- กระดูกสันหลังคดไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic scoliosis)
พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในวัยรุ่น ช่วงอายุ 10-18 ปี - กระดูกสันหลังคดตั้งแต่กำเนิด (Congenital scoliosis)
เกิดจากความผิดปกติของกระดูกสันหลังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น กระดูกสันหลังบางข้อเชื่อมติดกัน - กระดูกสันหลังคดจากโรคประจำตัว (Neuromuscular scoliosis)
มักพบในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น สมองพิการ (Cerebral Palsy) - กระดูกสันหลังคดในผู้สูงอายุ (Degenerative scoliosis)
เกิดจากกระดูกสันหลังเสื่อมในวัยสูงอายุ ทำให้แนวกระดูกสันหลังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
อาการของกระดูกสันหลังคด
อาการที่สังเกตได้ด้วยตนเอง
- ไหล่ทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
- เอวหรือสะโพกมีความเอียงผิดปกติ
- มีก้อนนูนหรือโหนกหลังข้างใดข้างหนึ่งเมื่อก้มตัว
- เส้นกระดูกสันหลังไม่ตรงเป็นเส้นตรงแนวดิ่ง
- มีความรู้สึกไม่สมดุลเมื่อลุกนั่งหรือเดิน
อาการในระยะเริ่มต้น vs ระยะรุนแรง
- ระยะเริ่มต้น
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการเจ็บปวด มักพบโดยบังเอิญในระหว่างตรวจสุขภาพหรือตรวจร่างกายประจำปี - ระยะรุนแรง
ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการปวดหลังเรื้อรัง กล้ามเนื้อไม่สมดุล หายใจลำบาก หรือหัวใจทำงานลำบากในกรณีที่กระดูกสันหลังกดทับช่องอก
สาเหตุของกระดูกสันหลังคด
ปัจจัยทางพันธุกรรม
จากการศึกษาพบว่าโรคกระดูกสันหลังคดมีแนวโน้มทางพันธุกรรมสูง หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ ลูกหลานก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แม้ว่าในบางรายจะไม่สามารถระบุยีนที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจน
ความผิดปกติทางโครงสร้างตั้งแต่กำเนิด
ความผิดปกติในการสร้างกระดูกสันหลังช่วงอยู่ในครรภ์ เช่น กระดูกบางชิ้นเชื่อมติดกันผิดปกติ หรือกระดูกบางข้อมีรูปทรงแปลก ส่งผลให้แนวของกระดูกสันหลังเบี่ยงเบนตั้งแต่เกิด และค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเมื่อเด็กโต
วิธีรักษากระดูกสันหลังคด
การรักษากระดูกสันหลังคดขึ้นอยู่กับ ระดับความรุนแรง ช่วงอายุ และสาเหตุของโรค โดยแพทย์จะประเมินแนวกระดูกผ่านภาพ X-ray วัดมุมโค้งที่เรียกว่า “Cobb angle” เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การสังเกตอาการในผู้ป่วยที่ยังไม่รุนแรง
หากผู้ป่วยมีมุมโค้งน้อยกว่า 20 องศา และ ไม่พบความผิดปกติอื่น ๆ แพทย์จะเลือกใช้การเฝ้าระวัง หรือ สังเกตอาการร่วมกับการตรวจติดตามเป็นระยะ ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยวัยเด็ก และ วัยรุ่นที่ร่างกายยังไม่เจริญเต็มที่
การใส่เสื้อดัดหลัง (Brace)
สำหรับผู้ป่วยที่มีมุมโค้งอยู่ระหว่าง 20-40 องศา และ ยังไม่หยุดโต การใส่เสื้อดัดหลังจะช่วยชะลอการคดของกระดูกไม่ให้รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในวัยรุ่น การใส่เสื้อดัดหลังอย่างสม่ำเสมอสามารถลดความจำเป็นในการผ่าตัดได้ในหลายกรณี
- ต้องใส่วันละ 16-23 ชั่วโมง
- ไม่ช่วยทำให้หลังกลับมาตรง 100% แต่ช่วยควบคุมไม่ให้คดเพิ่ม
การทำกายภาพบำบัด
การบริหารกล้ามเนื้อ และ กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในผู้ป่วยทุกระดับ โดยช่วยปรับสมดุลของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว (core) และ ลดอาการปวดที่อาจเกิดขึ้น
- โปรแกรมเฉพาะอย่าง Schroth Method ช่วยปรับท่าทางและการหายใจ
- การออกกำลังกายที่เน้นการยืดตัวและสร้างกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ พิลาทิส ก็มีประโยชน์อย่างมาก
การผ่าตัดรักษา
สำหรับผู้ป่วยที่มีมุมโค้งเกิน 45–50 องศา หรือ มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดหรือหัวใจถูกกดทับ การผ่าตัดเป็นทางเลือกสำคัญ โดยเป้าหมายคือทำให้แนวกระดูกตรงขึ้น ลดความเจ็บปวด และป้องกันความพิการในอนาคต
- การผ่าตัดจะใช้เหล็กดามกระดูกสันหลังเพื่อปรับแนว
- ต้องพักฟื้นประมาณ 4–6 สัปดาห์ก่อนกลับมาใช้ชีวิตประจำวัน
การดูแลตนเองร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน
- ฝึกท่านั่งและยืนให้ถูกต้อง
- นอนบนที่นอนที่ไม่ยุบตัวจนเกินไป
- ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพกระดูกสันหลังเป็นประจำ โดยเฉพาะในวัยเจริญเติบโต
สรุป
กระดูกสันหลังคด อาจเริ่มต้นจากความผิดปกติเล็กน้อยที่ไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจ หรือรักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
การรู้เท่าทันโรค การสังเกตสัญญาณเริ่มต้น และ การรับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาอย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อดัดหลัง การทำกายภาพบำบัด หรือ การผ่าตัดในบางกรณี รวมถึงการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน