การนอนกรนไม่เพียงแค่เป็นปัญหาที่กวนใจคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของภาวะทางการแพทย์ที่อาจร้ายแรงได้ ซึ่งคือ ภาวะ หยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ภาวะนี้เกิดจากการที่การหายใจขาดช่วงชั่วคราวหรือผิดปกติขณะหลับ ทำให้คุณภาพการนอนลดลงอย่างมาก อาการนอนกรนที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตได้ในที่สุด
นอนกรน คืออะไร
การนอนกรนเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อช่องทางเดินหายใจหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในระบบหายใจของเรามีการตีบแคบลง ทำให้ลมหายใจที่ผ่านเข้ามาผ่านช่องทางแคบดังกล่าวเกิดการกระพือและเสียงกรนขึ้น
เมื่อเรานอนหลับตามธรรมชาติ กล้ามเนื้อในร่างกายจะหย่อนตัวหรือคลายตัวลง ซึ่งทำให้อวัยวะในระบบหายใจเช่นเพดานอ่อนหรือโคนลิ้นก็จะหย่อนลงมาทำให้ทางเดินหายใจแคบลงได้ โดยเฉพาะเมื่อเรานอนหงายหน้าขึ้นบนเตียง
เมื่อช่องทางเดินหายใจแคบลง การหายใจเข้าจะทำให้กล้ามเนื้อสั่นสะเทือน และทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น สามารถอธิบายได้คล้ายกับเวลาที่ลมผ่านท่อเล็กๆ จึงเกิดเสียงกรนขึ้น (เช่นเมื่อลมเป่าผ่านท่อเล็กๆ จะทำให้เกิดเสียงเบาๆ หรือเป็นสัญญาณเสียง) เมื่อกล้ามเนื้อสั่นสะเทือน หรือกระพือ เสียงกรนก็จะเกิดขึ้น และนี่ก็คือสาเหตุของการนอนกรน
อาการนอนกรนอาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาในบางคน แต่ในบางรายอาจเกิด ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงมากขึ้น และสามารถทำให้คุณภาพการนอนเสียหายถึงขนาดที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ภาวะ หยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA)
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) เกิดเมื่อช่องทางเดินหายใจปิดตัวลงบ่อยครั้งในระหว่างการหลับ ซึ่งทำให้เกิดการหยุดหายใจชั่วครู่ หรือการลดลงของการได้รับออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งสามารถส่งผลให้คุณภาพการนอนเสียหาย และมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อเติมเต็มออกซิเจนให้กับร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจทำให้เกิดภาวะนอนหลับกลายเป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เกิดอาการนอนหลับในช่วงขับรถหรือทำงาน
หากท่านมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าเป็นอาการหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ใครที่เสี่ยงต่อภาวะ หยุดหายใจขณะนอนหลับ
- น้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่มีน้ำหนักมากจะมีทางเดินหายใจส่วนบนแคบกว่าผู้ที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- มีอาการของโรคภูมิแพ้บริเวณจมูก
- มีสันจมูกเบี้ยวหรือคด รูปหน้าหรือคางผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางหลุบ
- ต่อมทอนซิลโตขวางทางเดินหายใจ
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เป็นประจำ
- การรับประทานยาที่ทำให้เกิดอาการง่วง เช่น ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาคลายเครียด
- ผู้ชายมีโอกาสนอนกรนมากกว่าผู้หญิง 6-10 เท่า
- ผู้หญิงจะมีอาการนอนกรนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าวัยหมดประจำเดือน
อาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ได้แก่
- การนอนกรน: การกรนอย่างหนักหรือการกรนที่มีความถี่สูงในขณะหลับ
- การหยุดหายใจในขณะหลับ (Apnea): การหยุดหายใจชั่วขณะในระหว่างการหลับ ซึ่งอาจรวมถึงการหยุดหายใจที่สั้น ๆ หรืออาจยาวนานขึ้นก็ได้
- การตื่นขึ้นมาเพราะหายใจแรง, สำลัก หรือหายใจติดขัด: บางครั้งผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกตื่นเต้นหรือรู้สึกสำลักในระหว่างหลับ หรืออาจเป็นเพราะการหายใจที่แรงหรือการหายใจที่ติดขัด
- การตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเจ็บคอและปากแห้ง: เนื่องจากการหายใจที่ไม่สมบูรณ์อาจทำให้คอและปากแห้งขณะตื่นขึ้นมา
- การนอนเตะขาไปมาในขณะหลับ: อาการนี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจส่งผลให้รู้สึกไม่สบาย หรือทำให้คนอื่นในห้องนอนรู้สึกนอนหลับไม่สะดวก
- พฤติกรรมที่เกิดขึ้นขณะหลับ: อาจมีการเดินหรือพูดในฝัน ทานอาหารหรือทำท่าทางต่าง ๆ ในฝัน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ความหลับขัดข้อง
- การนอนตกเตียง: บางคนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจมีอาการตกเตียงในขณะหลับ ซึ่งอาจเป็นอันตรายเนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุในขณะหลับ
- อาการชัก / ชักขณะหลับ: บางรายอาจมีอาการชักขณะหลับที่เกิดขึ้นระหว่างการหลับ ซึ่งอาจเป็นผลจากภาวะนอนกรน
- การนอนกัดฟัน: บางคนที่มีภาวะนอนกรนอาจมีแนวโน้มที่จะนอนกัดฟัน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในระบบฟันและข้อบกพร่องทางกระดูกสำหรับบางคน
โดยปกติแล้ว ภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่ได้สังเกตถึงความปกติได้ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่พบความผิดปกติมักจะเป็นคนใกล้ชิด ดังนั้นหากคุณ หรือคนที่คุณรักมีอาการนอนกรนดังมากเป็นประจำ คุณจึงควรเข้ามาพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
แนวทางการรักษาอาการนอนกรน
แนวทางการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้นมีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรง รวมถึงสาเหตุต้นตอ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
- การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น ได้แก่
- การปรับสุขอนามัยในการนอนหลับ เช่น นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ
- งดเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ประสิทธิภาพในการนอนหลับแย่ลง อีกทั้งยังกดการหายใจ ทำให้มีอาการกรนมากยิ่งขึ้น
- การลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ปกติหรือภาวะอ้วน โดยต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาที่มีฤทธิ์กดประสาทหรือคลายกล้ามเนื้อ เพราะยาประเภทนี้จะกดการหายใจ ทำให้มีอาการกรนมากยิ่งขึ้น
- งดเว้นการดื่มชา กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่
- การใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP) ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย โดยเครื่องมือนี้จะเป่าลมผ่านท่อสายยางผ่านทางช่องจมูกหรือทางปาก เพื่อเปิดขยายและถ่างทางเดินหายใจส่วนต้นไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ตีบแคบขณะนอนหลับ โดยเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการจะมีการปรับแรงดันที่แตกต่างกันให้เหมาะสบกับผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อลดภาวะหยุดหายใจขณะหลับและการนอนกรน
- การใส่เครื่องมือในช่องปาก (Oral Appliance) คือการใส่เครื่องมือลักษณะคล้ายฟันยางหรือเครื่องมือดัดฟัน เพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ สำหรับวิธีนี้จะใช้ในผู้ป่วยรายที่ไม่มีอาการรุนแรงมาก
- การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment) มีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดจมูก การผ่าตัดต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกร
การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) คืออะไร?
Sleep Test หรือที่เรียกว่าการตรวจการนอนหลับ เป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อวัดและประเมินคุณภาพการนอนหลับของบุคคล ซึ่งมักจะใช้ในการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ เช่น ภาวะนอนกรน (Insomnia) หรือภาวะตื่นตอนกลางคืน (Sleep Apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไปและคุณภาพชีวิตของบุคคล
การตรวจการนอนหลับทั่วไปใช้เครื่องมือที่อยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ที่สวมใส่ในระหว่างการนอน เช่น อุปกรณ์ตรวจการหายใจในระหว่างการนอน (Polysomnography) ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ เพื่อวัดการหายใจ การหมุนตัว ระดับความออกซิเจนในเลือด รวมถึงกิจกรรมสมองและการเคลื่อนไหวของตาในระหว่างการนอน นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องสวมใส่เพื่อวัดระดับความหลับและการตื่นของผู้รับการทดสอบ
การตรวจการนอนหลับช่วยให้แพทย์สามารถประเมินและวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับได้ ซึ่งจะช่วยในการกำหนดการรักษาที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพทั่วไป
ประโยชน์ของการตรวจการนอนหลับ
การทำ Sleep Test มีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและรักษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับของบุคคล ต่อไปนี้คือ
- วินิจฉัยภาวะการนอนกรน (Sleep Apnea): Sleep Test ช่วยในการตรวจวัดและวินิจฉัยภาวะการหายใจไม่ได้ระหว่างการนอนหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นสภาวะที่เกี่ยวข้องกับการหลับในระยะเวลาสั้นๆ และสามารถระบุระดับความรุนแรงของการหายใจไม่ได้ในระหว่างการนอน
- วินิจฉัยภาวะนอนกรน (Insomnia): การทำ Sleep Test ช่วยในการวินิจฉัยภาวะนอนกรน (insomnia) ซึ่งเป็นภาวะที่มีปัญหาในการหลับหรือตื่นตอนกลางคืนบ่อยๆ และสามารถวัดคุณภาพการนอนของบุคคลได้อย่างละเอียด
- วินิจฉัยภาวะการนอนในกลุ่มเสี่ยง: Sleep Test ช่วยในการตรวจวัดและวินิจฉัยภาวะการนอนในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือภาวะอ้วน
- วิเคราะห์และวินิจฉัยปัญหาการนอนหลับอื่นๆ: Sleep Test ช่วยในการวินิจฉัยและวิเคราะห์ปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เช่น การเจ็บป่วยในระหว่างการนอน (sleep-related disorders), อาการเหนื่อยล้าและไม่ได้พักผ่อนในเวลาการนอนหลับ
หากคุณหรือคนที่คุณรักมีอาการนอนกรนเป็นประจำ อย่ารอช้าให้เหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น รีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม ช่วยให้คนที่คุณรักได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น และช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคร้ายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต