การมีผิวกระจ่างใส เปล่งปลั่ง สุขภาพดีเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน และ หนึ่งในเทรนด์ความงามที่มาแรงในยุคนี้คือ “ดริปวิตามินผิว” ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูสภาพผิว ลดความหมองคล้ำ หรือเสริมภูมิคุ้มกัน แต่หลายคนก็ยังมีคำถามว่า “ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล?” บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมเกี่ยวกับการดริปวิตามินผิว ตั้งแต่ประโยชน์ วิธีการ ไปจนถึงความปลอดภัย และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ
ดริปวิตามินผิวคืออะไร?
ความหมายของการดริปวิตามินผิว
“ดริปวิตามินผิว” หรือ IV Drip เป็นกระบวนการให้สารอาหาร วิตามิน และ แร่ธาตุต่าง ๆ ผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แตกต่างจากการรับประทานซึ่งต้องผ่านระบบย่อยอาหาร การดริปจึงช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้รวดเร็ว และ เต็มประสิทธิภาพมากกว่า
วิตามินที่นิยมใช้ในการดริปมีอะไรบ้าง?
ในการดริปวิตามินผิว มักประกอบด้วยสารสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวและร่างกาย ได้แก่
- วิตามินซี (Vitamin C) : เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส
- กลูต้าไธโอน (Glutathione) : ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้ผิวดูขาวเนียนใสขึ้น
- วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) : ช่วยในการเผาผลาญ สร้างพลังงาน และ ฟื้นฟูเซลล์ผิว
- ซิงก์ (Zinc) : ลดการอักเสบของผิว เหมาะกับผู้ที่เป็นสิว
ดริปกับฉีดวิตามินผิว ต่างกันไหม?
หลายคนสับสนระหว่างการ “ดริป” และ “ฉีดวิตามินผิว” แม้ว่าทั้งสองวิธีจะเป็นการให้สารเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แต่ก็มีความแตกต่างกัน:
- ดริปวิตามินผิว : เป็นการให้สารผ่านสายน้ำเกลือ ค่อย ๆ ซึมเข้าสู่กระแสเลือด ใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที
- ฉีดวิตามินผิว : มักฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือ ใต้ผิวหนัง เป็นการให้ในปริมาณน้อย ใช้เวลาสั้นกว่า
ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล?
ปัจจัยที่มีผลต่อการเห็นผล
ผลลัพธ์ของการดริปวิตามินผิวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ:
- สภาพผิวเดิม : ผิวที่คล้ำเสียมากอาจต้องใช้เวลานานกว่าผิวที่ดูแลมาดี
- อายุ : ผิวของคนที่อายุน้อยจะตอบสนองต่อวิตามินได้ดีกว่า
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต : การนอนหลับ พักผ่อน ความเครียด และ การรับประทานอาหารมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของวิตามิน
กี่ครั้งถึงจะเห็นผลจริง?
โดยทั่วไป ผู้ใช้บริการจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3–5 ครั้งแรก ขึ้นไป โดยเฉพาะเรื่องผิวที่ดูเนียนใสขึ้น รอยหมองคล้ำลดลง แต่ผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่คอร์สต่อเนื่องประมาณ 6–10 ครั้ง ขึ้นไป โดยควรได้รับการแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย
ตารางการดริปที่นิยม รายสัปดาห์หรือรายเดือน?
- ดริปแบบรายสัปดาห์ : เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนเร็ว เช่น เตรียมผิวก่อนออกงานหรือแต่งงาน
- ดริปแบบรายเดือน : เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวระยะยาว หรือผู้ที่เริ่มต้นดูแลผิว
ดริปวิตามินผิวอยู่ได้นานแค่ไหน?
ผิวกระจ่างใสจะคงอยู่ได้นานหรือไม่?
แม้ผลของการดริปจะสามารถเห็นได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ความยั่งยืนของผิวกระจ่างใสจะขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมหลังดริป เช่น การป้องกันแดด พักผ่อนให้เพียงพอ และ การดื่มน้ำ รวมถึงการเติมวิตามินอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
โดยทั่วไป ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นาน 2–4 สัปดาห์ หากไม่มีการบำรุงเพิ่มเติม ผิวอาจกลับมาหมองคล้ำได้เช่นเดิม
วิธีการดูแลผิวหลังดริปเพื่อคงผลลัพธ์ให้นานขึ้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดด SPF50+
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
ดริปวิตามินผิวปลอดภัยไหม?
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าการดริปวิตามินผิวจะถือว่า ปลอดภัยในระดับสูง หากทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น:
- ระคายเคืองบริเวณที่สอดเข็ม
- อาการวิงเวียน หรือคลื่นไส้จากการให้วิตามินในอัตราที่เร็วเกินไป
- ภูมิแพ้ส่วนประกอบในสูตรวิตามิน (เช่น กลูต้าไธโอน)
ควรเลือกคลินิกแบบไหนให้มั่นใจว่าปลอดภัย?
การเลือกคลินิกเพื่อดริปวิตามินผิว ควรพิจารณา:
- ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง
- มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด และตรวจสภาพร่างกายก่อนดริป
- ใช้วิตามินและน้ำเกลือที่ผ่านมาตรฐาน อย.
- อุปกรณ์สะอาด ปลอดเชื้อ และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง
- มีการติดตามผลหลังบริการ และให้คำแนะนำการดูแลตัวเองที่เหมาะสม
ข้อห้ามหลังฉีดวิตามินผิว
การดูแลตัวเองหลังจากการ ดริปวิตามินผิว หรือฉีดวิตามินผิวเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้สารอาหารที่ได้รับส่งผลเต็มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงหลังการฉีด:
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
แสง UV จะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำกลับมาเร็วขึ้น ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ (SPF ≥50) และสวมหมวกหรือกางร่มเมื่อออกกลางแจ้ง - งดดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
แอลกอฮอล์และคาเฟอีนกระตุ้นการขับน้ำและอาจลดประสิทธิภาพการดูดซึมวิตามินออกจากร่างกาย ทำให้ผลลัพธ์ลดลง - หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูง
เช่น ซาวน่า สปาร้อน หรือการอบตัว เพราะความร้อนจัดอาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวผิดปกติ เกิดอาการบวมแดงหรือรอยช้ำได้ง่าย - งดออกกำลังกายหนัก ๆ
การออกกำลังกายที่ใช้แรงมากหรือออกแรงจนเหงื่อออกเยอะ จะเร่งการขับวิตามินออกทางเหงื่อและปัสสาวะ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง - ไม่แต่งหน้าหนาใน 24 ชั่วโมงแรก
เนื่องจากผิวจะอยู่ในช่วงดูดซับวิตามินและต้องการการพักผิว หากต้องแต่งหน้าควรใช้เบา ๆ และล้างออกให้สะอาดก่อนนอน - ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายขนส่งวิตามินไปยังเซลล์ผิวได้ดียิ่งขึ้น แนะนำอย่างน้อย 2–3 ลิตรต่อวัน
หากหยุดฉีดวิตามินผิว จะกลับมาผิวหมองคล้ำหรือไม่?
การฉีดวิตามินผิว แม้จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสอย่างรวดเร็ว แต่หากหยุดการบำรุงด้วยวิธีนี้ ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ลดลงกลับสู่สภาพเดิมตามปัจจัยต่าง ๆ:
- เมตาบอลิซึมธรรมชาติ
ร่างกายยังคงสร้างเม็ดสีเมลานินตามอายุ แสงแดด และพันธุกรรม ถึงแม้จะเคยฉีดวิตามินจะยับยั้งเม็ดสีชั่วคราว แต่หากไม่มีการเติมสารต้านอนุมูลอิสระต่อเนื่อง เมลานินก็จะกลับมาสะสมจนผิวหมองคล้ำได้ - พฤติกรรมการใช้ชีวิต
หากยังคงนอนดึก เครียด หรือรับประทานอาหารขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวก็มีแนวโน้มหมองคล้ำเร็วขึ้น การหลุดจากคอร์สฉีดจึงยิ่งทำให้ผิวกลับมาโทรมง่าย - การดูแลบำรุงประจำวัน
ถ้าหยุดฉีดแต่ยังคงทาครีมกันแดด รับประทานผักผลไม้ และเสริมอาหารที่ช่วยบำรุงผิว (เช่น วิตามินซี กลูต้าไธโอน) ผิวจะคงความกระจ่างใสได้นานกว่า แต่ก็อาจไม่เทียบเท่าการบำรุงด้วย ดริปวิตามินผิว อย่างสม่ำเสมอ
สรุป ดริปวิตามินผิว กี่ครั้งถึงเห็นผล?
คำตอบสั้น ๆ คือ “ขึ้นอยู่กับคุณ” แต่โดยเฉลี่ยแล้วการ ดริปวิตามินผิว 3–5 ครั้งแรก จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวในระดับหนึ่ง และผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ รวมถึงการดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย การดริปวิตามินผิวไม่ใช่เวทมนตร์ที่เปลี่ยนผิวได้ภายในข้ามคืน แต่เป็นการบำรุงที่ต้องทำควบคู่กับการดูแลร่างกายจากภายใน