ฉีดฟิลเลอร์ปาก ทาลิปได้ในกี่วัน ดูแลปากให้กลับมาสวยเร็วที่สุด

สารบัญ

ฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะช่วยปรับรูปปากให้ดูอิ่มเอิบ มีมิติ และ ดูเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าควรดูแลปากอย่างไร และ สามารถทาลิปสติกได้เมื่อไรเพื่อไม่ให้กระทบกับผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์

หลังจาก ฉีดฟิลเลอร์ปาก ทาลิปสติกได้เมื่อไร?

หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก คุณควรรอ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง ก่อนที่จะทาลิปสติกหรือแต่งหน้าบริเวณริมฝีปาก นี่เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ฟิลเลอร์เริ่มเซ็ตตัว และ ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรือ ระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นจากเครื่องสำอาง

ฉีดฟิลเลอร์ปาก

อย่างไรก็ตาม หากริมฝีปากของคุณยังคงบวม มีรอยช้ำ หรือ อาการไม่สบายหลังจากฉีด ควรรอจนกว่าปากจะหายดีอย่างสมบูรณ์ ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด


เหตุผลที่ควรรอทาลิปหลัง ฉีดฟิลเลอร์ปาก

  1. ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    การทาลิปสติก หรือ สัมผัสบริเวณปากทันทีหลังฉีดอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังที่บอบบาง และ เปิดรับการติดเชื้อง่ายขึ้น
  2. ป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
    การกด หรือ ถูบริเวณปากระหว่างทาลิปสติกอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ ส่งผลให้รูปปากผิดเพี้ยนได้
  3. ลดการระคายเคือง
    ส่วนผสมบางอย่างในลิปสติก เช่น น้ำหอมหรือสารกันเสีย อาจทำให้ผิวที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ระคายเคืองหรือเกิดอาการแพ้ได้

การดูแลปากหลังฉีดฟิลเลอร์ให้กลับมาสวยเร็วที่สุด

การดูแลปากอย่างเหมาะสมหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม และ คงอยู่ได้นานที่สุด ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสปาก

ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดริมฝีปากโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจูบ หรือ การใช้หลอดดูดน้ำ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวและผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์

2. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มร้อนหรือแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มร้อนหรือแอลกอฮอล์สามารถทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งอาจเพิ่มอาการบวม และ รอยช้ำหลังฉีด

3. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม

หากปากบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ คุณสามารถใช้เจลประคบเย็น หรือ ถุงน้ำแข็งห่อผ้าประคบบริเวณปากเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการบวม และ อักเสบ

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก

ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว หรือ เลือดสูบฉีด เช่น การวิ่ง การยกน้ำหนัก เพราะอาจทำให้อาการบวมเพิ่มขึ้น

5. ดื่มน้ำมากๆ

การดื่มน้ำช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ดูดซับน้ำ และ คงความชุ่มชื้น ทำให้ปากดูอิ่มเอิบ และ เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

6. หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดริมฝีปาก

อย่านวดปากหรือพยายามปรับรูปปากเอง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัว และ เสียรูปทรงได้

7. ทาลิปบาล์มที่ปลอดภัย

หากคุณรู้สึกว่าปากแห้งหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรใช้ลิปบาล์มที่ปราศจากน้ำหอม และ สารเคมีที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง


อาการที่ควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก

แม้การฉีดฟิลเลอร์ปากจะเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็อาจมีอาการข้างเคียงที่ควรระวัง เช่น :

  • อาการบวม และ ช้ำ : ปกติจะหายไปเองใน 7-10 วัน
  • ความไม่สมมาตรของรูปปาก : อาจเกิดขึ้นในช่วงแรก และ จะเข้าที่หลังฟิลเลอร์เซ็ตตัว
  • อาการปวด หรือ แดงผิดปกติ : หากมีอาการปวดมาก หรือ มีรอยแดงเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลปากหลังฉีดฟิลเลอร์

Q : หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องเลี่ยงการกินอาหารอะไรบ้าง?

A : ควรหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด เผ็ดจัด และแข็ง เพราะอาจทำให้ปากระคายเคือง หรือ บาดเจ็บ

Q : เมื่อไรควรนัดติดตามผลกับแพทย์?

A : ควรนัดติดตามผลภายใน 1-2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อให้แพทย์ตรวจสอบผลลัพธ์ และ แก้ไขปัญหา (ถ้ามี)

Q : ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานแค่ไหน?

A : โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ปากสามารถคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ และ การดูแลรักษา


บทสรุป

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก คุณสามารถทาลิปสติกได้หลังจากผ่านไป 24-48 ชั่วโมง แต่ควรรอจนกว่าริมฝีปากจะหายบวม และ เข้าที่สมบูรณ์ภายใน 7-10 วัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ และ สวยงามที่สุด การดูแลปากอย่างเหมาะสม เช่น การหลีกเลี่ยงการสัมผัส การดื่มน้ำมากๆ และ การประคบเย็น จะช่วยให้ปากกลับมาสวย และ อิ่มเอิบเร็วขึ้น หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแลที่ถูกต้อง และ ปลอดภัย

อ่านบทความอื่นเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ ได้ที่นี้