ฟิลเลอร์ (Filler) กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการปรับรูปหน้า คืนความอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด หลายคนใฝ่ฝันอยากมีใบหน้าเรียว V-shape ร่องแก้มตื้น ริมฝีปากอิ่มฟู แต่ก่อนตัดสินใจฉีด มือใหม่ควรรู้อะไรบ้าง ? บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัย เตรียมคุณให้พร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ เป็นคำกว้างๆที่เราหมายถึงสารเติมเต็มทุกชนิด ที่นำมาใช้เติมเต็มต่างๆ เพื่อให้ดูสวยงามเป็นธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นไขมันหรือซิลิโคนเหลวต่างๆที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

แต่ปัจจุบันมีการคิดค้น สารเติมเต็มที่เรียกว่า ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเราที่เรียกกันสั้นๆ ว่า HA ผลิตขึ้นจากการเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ เพื่อนำมาเติมเต็มหรือใช้ทดแทนคอลลาเจนและไฮยาลูรอนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างผิวที่ร่างกายจะสูญเสียไปเมื่อเรามาอายุเพิ่มขึ้นนั่นเอง

โดยฟิลเลอร์ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาในเรื่องของโครงสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายตอบโจทย์ในทุกปัญหาบริเวณใบหน้า ตลอดจนรวมถึงเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ลงในตำแหน่งต่างๆ ก็มีการพัฒนาเทคนิคด้วยกันหลายๆเทคนิคขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหาและตำแหน่งที่จะแก้ไข เช่น การแก้ไขปัญหาใต้ตา แก้มตอบ ร่องแก้ม คาง หรือจุดต่างๆ

สยามคลินิกภูเก็ต ให้บริการการฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญประจำคลินิกซึ่งพวกเราได้มีการอัพเดทเทคนิคล่าสุดเป็นประจำ

กลไกการออกฤทธิ์ของฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) ส่วนใหญ่ใช้สารเติมเต็มประเภท กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้

ฟิลเลอร์คืออะไร ?

1. ดูดซับน้ำ:กรดไฮยาลูโรนิกมีโมเลกุลที่สามารถดูดซับน้ำได้มาก เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ฟิลเลอร์จะดูดซับน้ำและเพิ่มปริมาณ ช่วยเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และเพิ่มความโด่งของใบหน้า

2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน:กรดไฮยาลูโรนิกสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง กระชับ ส่งผลให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์

3. ผลลัพธ์ชั่วคราว:ฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูโรนิกจะสลายตัวตามธรรมชาติภายใน 6-18 เดือน ผลลัพธ์จึงไม่ถาวร

4. ความปลอดภัย:ฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูโรนิกมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายไปเองภายใน 1-2 อาทิตย์

ปัจจัยที่มีผลต่อกลไกการออกฤทธิ์ของฟิลเลอร์:

  • ชนิดของฟิลเลอร์
  • โมเลกุลของฟิลเลอร์
  • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด
  • ตำแหน่งที่ฉีด
  • ลักษณะของผิวหนัง
  • สุขภาพของผู้เข้ารับบริการ

ประเภทของฟิลเลอร์

ชนิดของฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ

  1. ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler) อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 2 ปี สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เช่น ฟิลเลอร์กลุ่มไฮยารูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA ที่คนไทยรู้จักกันดี ข้อดีของฟิลเลอร์แบบชั่วคราวคือสามารถย่อยสลายได้เอง และสามารถแก้ไขได้ในกรณีที่ฟิลเลอร์มีปัญหา
  2. ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2-5 ปี ยาวนานกว่าแบบแรก มีความปลอดภัยรองลงมาจากแบบแรก เช่น แคลเซียมฟิลเลอร์ ที่มีส่วนผสมของ แคลเซียมไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (Calciumhydroxyapatite) สารเติมเต็มกลุ่มนี้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาในประเทศไทย เนื่องจากเมื่อเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาจะสามารถทำการแก้ไขได้ยากกว่าสารเติมเต็มในกลุ่มฟิลเลอร์แบบชั่วคราว
  3. ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler) เป็นสารเติมเต็มกลุ่ม ซิลิโคน (Silicone) หรือ พาราฟิน (Paraffin) ซึ่งหลังฉีดไปแล้วฟิลเลอร์จะคงค้างอยู่ในชั้นผิวของเรา ไม่สามารถสลายไปตามธรรมชาติ มีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น ฟิลเลอร์ไหล หรือ ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป โดยปกติแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดสารเติมเต็มชนิดถาวรเพราะหากต้องการนำออก อาจจะไม่สามารถนำออกได้หมด ซึ่งเกิดอันตรายในระยะยาวแก่ร่างกายเราได้

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ คือ?

  1. ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย และปรับโครงสร้างใบหน้าได้
  2. ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันที ไม่มีรอยแผล
  3. มีความปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ได้รับการรับรองจากอย.
  4. สามารถฉีดสลายออกโดยไม่เป็นอันตราย เติมใหม่ได้เรื่อยๆ
  5. แก้ไขในจุดที่ต้องการความละเอียดสูงได้ดี เช่น ใต้ตา ร่องแก้มที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ ?

  • ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม รอยตีนกา
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความโด่งของใบหน้า เช่น แก้ม ใต้ตา คาง
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เช่น ปรับโหนกแก้ม ปรับรูปจมูก
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความอิ่มฟูของริมฝีปาก

ฟิลเลอร์ ฉีดในจุดไหนได้บ้าง

การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่นิยมจะมีดังนี้เพราะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด ทำให้หน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ

  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกใต้ตาของเราก็จะยุบตัวลง ทำให้บริเวณนั้นมีเนื้อน้อยลงทำให้ผิวหนังย่อนคล้อย ซึ่งสามารถเติมฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อทำให้หน้าดูเด็กลงได้
  • ฉีดฟิลเลอร์คาง ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการใช้แทนการศัลยกรรม
  • ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ปัญหาร่องแก้มลึกมักจะทำให้คนไข้หน้าดูแกกว่าวัย ซึ่งสามารถเติมฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที
  • ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ช่วยแก้ปัญหาโหนกแก้มสูง
  • ฉีดฟิลเลอร์ปาก สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนทรงปากแต่ไม่อยากผ่าตัด
  • ฉีดฟิลเลอร์ขมับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับเหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน
  • ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก การเติมฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยปรับหน้าให้ได้สัดส่วน สวยงาม ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง
  • ฉีดฟิลเลอร์จมูก เหมาะสำหรับคนที่อยากปรับแก้ไขรูปจมูกให้สวยสมบูรณ์ได้สัดส่วนและออกมาเป็นธรรมชาติมาก

ฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละตำแหน่ง ต้องฉีดปริมาณเท่าไหร่

การฉีดฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่งนั้น ใช้ฟิลเลอร์ในการรักษาไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาบนใบหน้าของคนไข้แต่ละคน โดยแพทย์จะประเมินว่าปัญหาของคนไข้เป็นรายบุคคล โดยจะมีมาตรฐานดังนี้

  • จมูก / หยดน้ำ 1 ml.
  • คาง 1-2 ml.
  • ปากอวบอิ่ม 1-2 ml.
  • ร่องใต้มุมปาก 1-2 ml.
  • ร่องแก้ม 1-2 ml.
  • เติมแก้ม แก้มตอบ 2-4 ml.
  • เติมใต้ตา 1-3 ml.
  • ขมับ 2-3 ml.
  • หน้าผาก 4-6 ml

**เป็นปริมาณโดยคร่าว ขึ้นกับระดับปัญหาของแต่ละบุคคล

ควรฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ? 

ฟิลเลอร์แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป โดยแพทย์จะเป็นผู้เลือกชนิดของฟิลเลอร์ให้เหมาะกับใบหน้าของท่าน โดยที่สยามคลินิกได้ใช้ฟิลเลอร์อยู่ 3 ยี่ห้อ ซึ่งถือว่าเป็นชนิดของฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยาของประเทศไทยดังนี้

ฟิลเลอร์ Restylane®

ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน เป็นฟิลเลอร์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก การันตีจาก FDA อเมริกา และ CE MARKS จากยุโรป มีมากมายหลายรุ่นให้เลือกใช้กับแต่ละตำแหน่งปัญหาเช่นกัน อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12-15 เดือน

  • Classic นิยมนำมาใช้ในการรักษาตำแหน่ง Midface เติมเต็มแก้มส้ม ร่องแก้ม ร่องพับมุมปาก ร่องพับคาง
  • Refyne เหมาะสำหรับการแก้ไขบริเวณที่ผิวหนังบางๆ มีรอยยับเล็กๆ ที่ต้องการความละเอียด เช่น รอบดวงตา
  • Defyne นำมาใช้ในการรักษาบริเวณ midface
  • Lyft สำหรับแก้ไขในจุดที่ต้องการแรงยกสูง เช่น บริเวณขมับ ตามตำแหน่งเส้นเอ็นต่างๆของใบหน้า คาง ร่องแก้ม
  • Volyme นิยมนำมาใช้ในการรักษาในตำแหน่งที่ต้องการการเติมเต็มที่ค่อนข้างลึก เช่น บริเวณแก้มตอบ ร่องแก้ม
  • Vital นำมาใช้เติมเต็มบริเวณหน้าผาก และยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมในเรื่องของปรับความชุ่มชื้นผิว สามารถนำมาแก้ไขปัญหา ริ้วรอย ร่องลึก ตื้นๆได้พร้อมเพิ่มฉ่ำวาวของผิว มีแรงยกเล็กน้อย และการเติมเต็มด้วยปริมาตรที่ไม่มากจนเกินไป
  • Vital light แก้ไขปัญหาจะใช้แก้ไขบริเวณ หลุมสิว รอยคล้ำใต้ตา หรือบริเวณที่ต้องการความชุ่มชื้นเป็นหลัก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปริมาตรมากจนเกินไป เช่น หลังฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ลำคอ และเนินอก

ฟิลเลอร์ Juvederm®

ฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกัน เป็นอีกหนึ่งฟิลเลอร์ที่คนไทยมักจะรู้จักกันดี

  • Ultra และ Ultra plus โดยฟิลเลอร์ 2 รุ่นนี้มีความเข้มข้นของ HA สูง เหมาะในการเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการปริมาตรมาก เช่น ขมับ แก้มตอบ
  • Voluma เน้นใช้กับคาง ขมับตอบ หรือการฉีดลิฟใบหน้า
  • Volift ใช้สำหรับแก้ไขร่องลึกและรอยย่น อันเนื่องมาจากสภาวะต่างๆ
  • Vobella ทำมาเพื่อใช้สำหรับ ฉีดใต้ตา ฉีดปากอิ่มน้ำ
  • Volite filler ใช้สำหรับเติมเต็มรอยที่ผิวหนัง เพื่อแก้ไขลักษณะของผิวหนัง เช่น เติมความยืดหยุ่นให้ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยยับ

ฟิลเลอร์ Belotero®

ฟิลเลอร์สัญชาติสวิส ได้รับความนิยมเนื่องจากราคาถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสองยี่ห้อที่ได้กล่าวมาก่อน มี 4 รุ่นให้เลือกใช้

  • Soft นิยมใช้สำหรับในการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวใส หน้าฉ่ำวาว มีน้ำมีนวล หรือบริเวณหน้าแก้ม เพิ่มความกระจ่างใส ลดรอยคล้ำบริเวณใต้ตา รวมไปถึงช่วยเก็บริ้วรอยเล็กๆ และรักษาหลุมสิวที่ไม่ลึกมากได้ด้วย
  • Balance นิยมใช้สำหรับบริเวณใต้ตา เพิ่มความกระจ่างใส เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน สร้างขอบปากและสร้างร่องเหนือริมฝีปากให้ชัดมากขึ้น อีกทั้งยังใช้บริเวณหน้าผากที่มีปัญหาไม่มากได้ รวมไปถึงหลุมสิวไม่ลึก
  • Intense นิยมใช้สำหรับบริเวณที่มีการขยับบ่อยๆ เช่น ขมับ หรือริมฝีปาก เติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่ม และใช้ยกกระชับใบหน้า รวมไปถึงริ้วรอยร่องลึกตามใบหน้า ช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์
  • Volume นิยมใช้ในการเติมเต็มในบริเวณที่ต้องการการคงที่ของฟิลเลอร์ เช่น คาง ขมับ แก้มส้ม เพิ่มมิติให้กับใบหน้า

ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่เหมาะกับทุกคน การเลือกฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับ:

  • จุดที่ต้องการฉีด: แต่ละจุดบนใบหน้า เหมาะกับฟิลเลอร์ที่มีเนื้อสัมผัส ความหนืด และความคงทนต่างกัน
  • ปัญหาที่ต้องการแก้ไข: ริ้วรอย ร่องลึก หรือ การปรับรูปหน้า ต้องการฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหา
  • สภาพผิว: ผิวบาง ผิวหนา ผิวแห้ง ผิวมัน ต้องการฟิลเลอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว
  • งบประมาณ: ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีราคาแตกต่างกัน

ฉีดฟิลเลอร์ปลอดภัยไหม

  • ฟิลเลอร์ เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูง
  • มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องเหมาะสม และวิเคราะห์ปริมาณยาและตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างแม่นยำ และจะต้องฉีดในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานได้ รับอนุญาตเพราะหากฉีดโดนเส้นเลือดหรือบริเวณอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม ?

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ไม่เจ็บมาก แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะฉีดก่อน ทำให้รู้สึกตึงๆ มากกว่าเจ็บ แต่ระดับความเจ็บอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ:

  • ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์บางชนิดมีส่วนผสมของยาชา ช่วยลดความเจ็บ
  • บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะ อาจรู้สึกเจ็บมากกว่า
  • ความไวต่อความเจ็บ: แต่ละคนมีความไวต่อความเจ็บต่างกัน

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ 

  1. เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  2. แพทย์จะแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณที่เหมาะสม กับจุดที่ต้องการแก้ไข
  3. ทำความสะอาดใบหน้า ให้สะอาด แปะยาชาหรือไม่แปะก็ได้
  4. ก่อนฉีดแพทย์จะมีการวาดลาย บริเวณที่จะฉีด แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้หรือไม่ก่อนทำการฉีด
  5. ฉีดยาชาเพื่อลดความเจ็บจากเข็ม และฉีดเติมเต็มส่วนต่างๆ อาจจะมีการกดนวดเพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์เข้าที่ ทั้งนี้ในฟิลเลอร์จะมียาชาผสมอยู่ด้วยไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ 

เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังการฉีดฟิลเลอร์ด้วย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็ว และเพื่อยืดอายุให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย

เตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่างไร ?

  • ควรหาข้อมูลต่างๆที่จำเป็นเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ เทคนิคในการทำ รวมไปถึงวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัย
  • ควรงดยาและวิตามินบางชนิดก่อนฉีดฟิลเลอร์ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน Johns Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
  • ควรงดยาผลัดเซลล์ผิว งดโกนขนบริเวณที่จะ ฉีดฟิลเลอร์
  • ควรงดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
  • ก่อนทำสามารถแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้ และแพทย์จะฉีดยาชาในจุดนั้นๆก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุดในขณะดันยา ทั้งนี้ในฟิลเลอร์ยังมีส่วนผสมของยาชาด้วย

การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง ?

  • งดนอนราบหลังทำ 4 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการแกะ เกาและกดนวด ไม่คลำในจุดที่ฉีด อาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติ จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน (หากหลังจาก 3 วันไปแล้ว มีอาการบวมมากขึ้น แสบร้อนมากขึ้นให้ติดต่อกลับมาที่คลินิก)
  • หากก่อนทำไม่ได้ทานยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบทานยาฆ่าเชื้อทันที นอกจากนี้ยังสามารถทานยาแก้ปวด ลดบวมร่วมได้
  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดดเป็นต้น
  • ให้งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  • ควรงดทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารหมักดอง งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้ากว่าปกติ

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง ?

อาจมีรอยแดง ช้ำเขียวจากเข็มได้ ซึ่งจะหายไปเองได้ใน 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับบุคคลด้วยและจะอาการบวมหลังฉีด เป็นปกติ แล้วสามารถบุบบวมไปเองได้ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์ จะเข้าที่ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน

ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ฉีด และ บุคคล

ข้อควรระวัง

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์
  • ห้ามฉีดฟิลเลอร์โดยไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • เลือกฟิลเลอร์ที่มาตรฐาน
  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน