ในยุคปัจจุบันที่การดูแลผิวพรรณและความงามเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ การยกกระชับใบหน้ากลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ผู้คนสนใจมากขึ้น หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือการใช้เทคโนโลยี HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) หรือที่เราเรียกกันว่า “ไฮฟู่” ซึ่งเป็นวิธีการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีแผลเป็น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการทำไฮฟู่และประโยชน์ที่มาพร้อมกับการรักษาด้วยวิธีนี้
ไฮฟู่ คืออะไร?
HIFU ย่อมาจาก High-Intensity Focused Ultrasound เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงในการยกกระชับผิวหนังและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกของผิวหนัง โดยไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือใช้เข็ม เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยการส่งคลื่นเสียงที่มีความแม่นยำลงไปยังชั้นผิวหนังที่ต้องการกระชับ และเมื่อคลื่นเสียงไปถึงชั้นผิวที่เรียกว่า SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) จะเกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งช่วยทำให้ผิวหน้าดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น
ทำไม ไฮฟู่ ถึงได้รับความนิยม?
การยกกระชับใบหน้าด้วยไฮฟู่เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงาม เพราะมีข้อดีหลายประการที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจมากขึ้น ดังนี้
1. ไม่ต้องผ่าตัด
หนึ่งในความกังวลหลักของหลายคนที่ต้องการยกกระชับใบหน้าคือการต้องเผชิญกับการผ่าตัด ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องของแผลเป็น การพักฟื้น และการบวมช้ำ แต่การทำไฮฟู่ไม่ต้องมีการผ่าตัดใดๆ ทำให้การฟื้นตัวรวดเร็ว และไม่มีแผลเป็นหลังการรักษา
2. ไม่ต้องใช้เข็ม
หลายคนที่กลัวเข็มจะรู้สึกสะดวกสบายกับการทำไฮฟู่ เพราะไม่ต้องใช้เข็มในการฉีดยา หรือการเจาะเลือด ซึ่งทำให้กระบวนการรักษามีความสะดวกและเป็นที่นิยมในผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้เข็ม
3. ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน
หลังการรักษาด้วยไฮฟู่ คุณจะเริ่มเห็นความแตกต่างในผิวหน้าของคุณภายใน 1-3 เดือน เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่จะเริ่มเกิดขึ้น และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
4. ไม่ต้องพักฟื้น
หลังการทำไฮฟู่ คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องหยุดพักฟื้นหรือดูแลพิเศษเหมือนกับการทำศัลยกรรมใบหน้าแบบอื่นๆ
5. ปลอดภัย
ไฮฟู่เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการวิจัยและทดสอบมาแล้วว่าปลอดภัย และมีการรับรองจากองค์กรด้านสุขภาพในหลายประเทศ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย
ไฮฟู่ ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
การทำไฮฟู่ไม่เพียงแค่ช่วยยกกระชับใบหน้า แต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวที่หลากหลายได้ ดังนี้:
- ยกกระชับใบหน้า: ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นและลดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มและคาง
- ยกกระชับบริเวณคอ: ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นและความหย่อนคล้อยบริเวณคอ ทำให้คอดูเต่งตึงขึ้น
- ลดริ้วรอย: ช่วยลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม และรอยตีนกา
- ยกคิ้วและเปลือกตา: ช่วยยกกระชับคิ้วและเปลือกตาที่เริ่มหย่อนคล้อย ให้ดวงตาดูสดใสและอ่อนเยาว์
- ปรับรูปหน้า: ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น และยกกระชับส่วนต่างๆ ของใบหน้าเพื่อให้ดูมีมิติและเป็นธรรมชาติ
ขั้นตอนทำ ไฮฟู่
การทำไฮฟู่ไม่ซับซ้อนและสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน นี่คือขั้นตอนหลักที่ใช้ในการทำไฮฟู่:
1. การปรึกษาแพทย์
ก่อนเริ่มทำไฮฟู่ คุณจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกบริเวณที่ต้องการยกกระชับ การปรึกษานี้จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณได้อย่างถูกต้อง แพทย์จะตรวจสอบว่าผิวของคุณเหมาะสมกับการทำไฮฟู่หรือไม่ และคาดการณ์ผลลัพธ์ที่คุณสามารถคาดหวังได้หลังการทำ
2. การเตรียมผิวหน้า
ก่อนการรักษา แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าเพื่อให้ผิวหน้าปลอดจากสิ่งสกปรก รวมถึงการขจัดคราบเครื่องสำอาง จากนั้นแพทย์จะทาเจลเย็นลงบนบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เจลเย็นนี้จะช่วยป้องกันความร้อนจากคลื่นเสียงและลดการระคายเคืองของผิวหนัง ทำให้การรักษามีความปลอดภัยและสบายมากขึ้น
3. การยิงคลื่นเสียง
แพทย์จะใช้เครื่องมือไฮฟู่ที่ปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงลงไปในชั้นผิวที่ลึก คลื่นเสียงเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนเฉพาะจุดในชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการยกกระชับผิวหนัง ระหว่างการรักษาคุณอาจรู้สึกถึงความอุ่นหรือตึงบริเวณที่ได้รับการยิงคลื่นเสียง อาการนี้ถือว่าเป็นปกติและช่วยยืนยันว่าการรักษากำลังทำงานในชั้นผิวที่ลึก
4. ระยะเวลาการทำ
การทำไฮฟู่ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการรักษาและขนาดของพื้นที่ โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลาประมาณ 30 นาทีสำหรับบริเวณใบหน้า และ 45-60 นาทีสำหรับการยกกระชับทั้งใบหน้าและลำคอ
5. การฟื้นตัวหลังทำ
หลังจากการทำไฮฟู่ คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น ในบางกรณีอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย แต่รอยเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการรักษา ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวหลังการทำไฮฟู่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ความแตกต่างระหว่างไฮฟู่และวิธีการยกกระชับแบบอื่น
การยกกระชับใบหน้ามีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ไฮฟู่ (HIFU) เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการยกกระชับที่ได้รับความนิยม แต่ยังมีอีกหลายเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อย มาดูความแตกต่างระหว่างไฮฟู่กับวิธีการอื่นๆ ดังนี้
ไฮฟู่ (HIFU)
- เทคโนโลยี: ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงเจาะลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- การรักษา: ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม
- ผลลัพธ์: คงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้ใช้
- ความเจ็บปวด: รู้สึกอุ่นและตึงเล็กน้อย
- ระยะเวลาฟื้นตัว: ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันที
การยกกระชับด้วยสารลดริ้วรอย
- เทคโนโลยี: ใช้สารที่ช่วยหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย
- การรักษา: ต้องใช้เข็มฉีดสารเข้าสู่ผิว
- ผลลัพธ์: คงอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน
- ความเจ็บปวด: มีความเจ็บเล็กน้อยจากการฉีด
- ระยะเวลาฟื้นตัว: บวมและแดงเล็กน้อยหลังฉีด แต่อาการจะหายไปในเวลาไม่กี่วัน
การยกกระชับด้วยฟิลเลอร์
- เทคโนโลยี: ฉีดสารเติมเต็ม เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้า
- การรักษา: ต้องใช้เข็มฉีดสารเข้าสู่ผิว
- ผลลัพธ์: คงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์
- ความเจ็บปวด: มีความเจ็บเล็กน้อยจากการฉีด
- ระยะเวลาฟื้นตัว: บวมเล็กน้อยหลังฉีด และอาจมีรอยฟกช้ำ
การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift)
- เทคโนโลยี: การผ่าตัดดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อยกกระชับ
- การรักษา: ต้องผ่าตัดและใช้เวลาพักฟื้นหลายวัน
- ผลลัพธ์: คงอยู่ได้นานหลายปี
- ความเจ็บปวด: ต้องทนความเจ็บปวดหลังผ่าตัด และมีการบวมช้ำ
- ระยะเวลาฟื้นตัว: ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นฟู และต้องดูแลเป็นพิเศษหลังผ่าตัด
ไฮฟู่ ทำส่วนไหนได้บ้าง?
การทำ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) สามารถนำมาใช้กับหลายบริเวณบนร่างกายเพื่อยกกระชับและปรับรูปร่างของผิว ส่วนที่สามารถทำไฮฟู่ได้มีดังนี้:
- ใบหน้า: HIFU ใช้สำหรับยกกระชับใบหน้าและลดความหย่อนคล้อยได้ทั้งใบหน้า เช่น บริเวณแก้ม คาง และลำคอ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อยกคิ้ว ปรับรูปหน้าที่หย่อนคล้อย และทำให้หน้าดูเรียวขึ้น
- ลำคอ: สามารถใช้ HIFU ในการยกกระชับลำคอ ลดความหย่อนคล้อยบริเวณใต้คางหรือ “เหนียง” และลดริ้วรอยบริเวณลำคอได้
- หน้าผากและคิ้ว: การทำ HIFU ช่วยยกกระชับคิ้วและหน้าผาก ปรับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยบนหน้าผาก
- ลำตัว: นอกจากใบหน้า HIFU ยังสามารถใช้ยกกระชับผิวบริเวณลำตัวได้ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา โดยช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวและปรับรูปร่าง
ทำ ไฮฟู่ ช่วยอะไรบ้าง?
การทำ HIFU มีประโยชน์หลายประการในการดูแลผิวพรรณและช่วยยกกระชับผิว นี่คือสิ่งที่ HIFU ช่วยได้:
- ยกกระชับผิว: ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยบนใบหน้าและลำคอ เช่น ยกกระชับแก้ม ลดเหนียง และทำให้คอเต่งตึงขึ้น
- ลดริ้วรอย: HIFU ช่วยลดเลือนริ้วรอยลึกและตื้นในบริเวณต่างๆ บนใบหน้า เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม และตีนกา
- ปรับรูปหน้า: HIFU สามารถช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นและลดความหย่อนคล้อยในบริเวณต่างๆ เช่น แก้มและคาง ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีมิติ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: คลื่นเสียงที่ถูกส่งเข้าสู่ผิวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นและเรียบเนียนกว่าเดิม
- ยกคิ้วและหนังตา: ช่วยยกกระชับคิ้วและหนังตาที่หย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูสดใสและดูมีความอ่อนเยาว์มากขึ้น
- ลดผิวหย่อนคล้อยบริเวณลำตัว: HIFU ยังสามารถใช้กับบริเวณลำตัว เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและปรับรูปร่าง
ไฮฟู่ เจ็บไหม? ความรู้สึกระหว่างทำเป็นอย่างไร?
หลายคนกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างการทำไฮฟู่และถามว่า “ไฮฟู่เจ็บไหม?” คำตอบคือ การทำไฮฟู่นั้นไม่เจ็บมาก แต่มีความรู้สึกไม่สบายอยู่บ้างในบางบริเวณ โดยความรู้สึกระหว่างทำสามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้:
- ความรู้สึกตึงและอุ่น: ขณะที่คลื่นเสียงถูกยิงลงไปยังชั้นผิวลึก อาจมีความรู้สึกตึงหรืออุ่นในบริเวณที่รักษา บางคนอาจรู้สึกว่าเหมือนถูกกระตุ้นในชั้นลึกของผิวหนัง แต่ความรู้สึกนี้มักจะเบาบางลงหลังจากการทำไฮฟู่เสร็จสิ้น
- ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย: ในบางกรณี ผู้ที่ทำไฮฟู่อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือมีการสะท้อนคลื่นเสียงที่ทำให้เกิดความไม่สบายในชั้นผิว แต่ความเจ็บนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ทนได้ และมักไม่ต้องใช้ยาชา
- ความรู้สึกหลังการทำ: หลังจากการทำไฮฟู่ อาจมีรอยแดงเล็กน้อยบริเวณผิวที่รักษา แต่รอยแดงนี้จะหายไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบางกรณี แต่ไม่ต้องพักฟื้นหรือหยุดกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
การดูแลผิวหลังทำไฮฟู่
หลังการทำไฮฟู่ การดูแลผิวอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นี่คือคำแนะนำในการดูแลผิวหลังทำไฮฟู่:
1. หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
หลังจากทำไฮฟู่ ผิวอาจไวต่อแสงแดดมากขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการทำลายผิวที่อาจเกิดขึ้นจากรังสียูวี นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดและช่วยรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่นาน
2. งดการทำเลเซอร์หรือการทำทรีตเมนต์อื่นๆ ชั่วคราว
หลังจากการทำไฮฟู่ ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ การใช้ความร้อน และการทรีตเมนต์ผิวอื่นๆ ที่อาจรบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิวอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวและสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำทรีตเมนต์เพิ่มเติมในช่วงนี้อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดปัญหาผิวเพิ่มขึ้น
3. บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
การบำรุงผิวหลังทำไฮฟู่เป็นสิ่งสำคัญ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้แข็งแรง การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจะช่วยส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ และทำให้ผิวดูเรียบเนียนและยืดหยุ่นมากขึ้น
4. ดื่มน้ำมากๆ
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว น้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายในและช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนหลังจากการทำไฮฟู่ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวดูสดใสและเต่งตึงมากขึ้น
5. หลีกเลี่ยงการนวดหรือขัดผิวแรงๆ
ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังทำไฮฟู่ ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้า การขัดผิว หรือการกดดันบริเวณที่ทำไฮฟู่ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือเสียหาย การนวดหรือขัดผิวแรงๆ อาจรบกวนกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่และทำให้ผิวมีอาการแดงหรือบวมมากขึ้น
สรุป
การทำไฮฟู่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องใช้เข็มหรือทำศัลยกรรม เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพราะไม่ต้องพักฟื้น ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ของผิว หากคุณกำลังมองหาวิธีในการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องเจ็บและไม่ต้องผ่าตัด การทำไฮฟู่อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่คุณควรพิจารณา