ทำ Hifu เจ็บจริงหรือไม่? คำตอบที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจ!

สารบัญ

ในปัจจุบัน Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound) กลายเป็นนวัตกรรมยอดนิยมในแวดวงความงามที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ข้อดีที่ดึงดูดใจหลายคนให้เลือก ไฮฟู่ คือการได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

ทำความรู้จัก Hifu เทคโนโลยีเพื่อความงาม

Hifuเป็นเทคโนโลยีการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือเข็ม โดยคลื่นพลังงานความร้อนจะถูกส่งผ่านไปยังชั้นผิวหนังระดับลึก (SMAS หรือ Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดยกกระชับหน้า ในขณะที่เทคโนโลยี ไฮฟู่ สามารถเข้าถึงชั้น SMAS ได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ทำให้ไม่มีแผลเปิด ไม่ต้องพักฟื้น และยังให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าพอใจในด้านการยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวสวย

นวัตกรรม ไฮฟู่ ใช้หลักการของคลื่นอัลตราซาวนด์ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิวลึก และเมื่อพลังงานจากคลื่นเสียงเหล่านี้กระทบเนื้อเยื่อผิวชั้นลึก จะทำให้เกิดการยุบตัวเล็กๆ ของคอลลาเจน ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ การทำงานของ ไฮฟู่ จึงเปรียบเสมือนการยกกระชับจากภายใน ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์และแน่นกระชับมากขึ้น

Hifu

ไฮฟู่ ได้รับความนิยมในวงการเสริมความงามเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างเห็นผลโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นหรือผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย การรักษาด้วย ไฮฟู่ จึงถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการยกกระชับบริเวณใบหน้า คอ แนวกรอบหน้า ขมับ หรือแม้กระทั่งหน้าท้องและต้นแขนที่เริ่มมีความหย่อนคล้อย

ทำเเล้วจะเจ็บจริงหรือไม่? ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

ความเจ็บจากการทำ ไฮฟู่ ถือเป็นคำถามยอดนิยมสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาทำ เพราะการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ส่งพลังงานความร้อนเข้าสู่ชั้นผิวลึกอาจสร้างความรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกเจ็บเท่ากันก็ตาม ในการประเมินว่าทำ ไฮฟู่ เจ็บมากน้อยแค่ไหน เราควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความรู้สึกระหว่างทำ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายประการ ดังนี้

  1. ความไวของผิวแต่ละบุคคล
    ความไวของผิวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับความเจ็บปวดที่ผู้รับบริการรู้สึกได้ บางคนที่มีผิวไวต่อความรู้สึกอาจรู้สึกเจ็บมากกว่าผู้ที่มีความทนทานต่อความเจ็บปวดสูง อย่างไรก็ตาม ความเจ็บจากการทำ ไฮฟู่ มักอยู่ในระดับที่ทนได้ และไม่ได้สร้างความไม่สบายใจจนต้องหยุดทำกลางคัน ผู้ที่มีผิวบอบบางหรือไวต่อความรู้สึกอาจเลือกที่จะทายาชาหรือใช้วิธีบรรเทาความเจ็บปวดก่อนการทำ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากขึ้น
  2. ความลึกและระดับพลังงานที่ใช้
    ในการทำ ไฮฟู่ นั้น แพทย์จะปรับความลึกของคลื่นอัลตราซาวนด์ตามระดับที่เหมาะสมกับแต่ละบริเวณบนใบหน้าและสภาพผิวของผู้เข้ารับบริการ โดยหากทำบริเวณที่ผิวติดกับกระดูก เช่น บริเวณกรอบหน้า แนวขากรรไกร และโหนกแก้ม ผู้รับบริการอาจรู้สึกเจ็บมากกว่าเมื่อทำในส่วนที่มีเนื้อเยื่ออ่อนอย่างแก้มหรือคอ นอกจากนี้ ระดับพลังงานที่ใช้ยังส่งผลต่อความเจ็บด้วยเช่นกัน หากแพทย์ปรับพลังงานให้อยู่ในระดับสูงเพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับดีขึ้น ผู้รับบริการก็อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว
  3. ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์
    การทำ ไฮฟู่ กับแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะช่วยลดความเจ็บปวดได้ เนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถปรับระดับพลังงานและความลึกให้เหมาะสมกับผิวแต่ละจุดบนใบหน้า ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การเลือกทำ ไฮฟู่ กับคลินิกที่มีมาตรฐานและใช้เครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมด้านนี้โดยเฉพาะ จะช่วยให้การรักษามีความแม่นยำยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้รับบริการรู้สึกไม่สบายใจน้อยลงและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
  4. พื้นที่ที่ทำ Hifu
    ความเจ็บปวดจากการทำ ไฮฟู่ ยังขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำด้วย เช่น หากทำในบริเวณกรอบหน้าและแนวขากรรไกร ซึ่งมีเนื้อเยื่อบางและอยู่ติดกับกระดูก ผู้รับบริการมักจะรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณที่มีเนื้อเยื่อหนา อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนี้มักจะไม่เจ็บเกินไปและสามารถทนได้
  5. การเตรียมตัวก่อนทำ Hifu
    การเตรียมตัวก่อนการทำ ไฮฟู่ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายมากขึ้น เช่น การทายาชาก่อนทำ หรือเลี่ยงการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจากสารเหล่านี้อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัวและทำให้ผิวไวต่อความรู้สึกมากขึ้น การปรึกษากับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการเตรียมตัวล่วงหน้า จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในระหว่างการทำ ไฮฟู่
  6. สภาวะจิตใจและการผ่อนคลายขณะทำ Hifu
    สภาพจิตใจมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกเจ็บปวด หากคุณรู้สึกวิตกกังวลหรือเครียด อาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายมากขึ้น การทำใจให้สงบและผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญในระหว่างการทำ ไฮฟู่ การหายใจลึกๆ และการทำใจให้ผ่อนคลายช่วยให้คุณรู้สึกเจ็บน้อยลง หากคุณยังรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับการทำ ไฮฟู่ ลองปรึกษากับแพทย์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าใจกระบวนการมากขึ้นจะช่วยลดความกังวลได้

เปรียบเทียบ Hifu กับการยกกระชับหน้าแบบอื่นๆ

การยกกระชับใบหน้ามีหลายวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้งการทำ Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound) ฟิลเลอร์ การร้อยไหม และการผ่าตัดดึงหน้า แต่ละวิธีมีจุดเด่น ข้อดี ข้อจำกัด และเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธี เพื่อให้เลือกวิธีการยกกระชับใบหน้าที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของคุณมากที่สุด

1. High-Intensity Focused Ultrasound

จุดเด่น
ไฮฟู่ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งพลังงานเข้าไปในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังลึกที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ยังไม่มีแผลเป็น ไม่มีการใช้เข็ม จึงมีความเสี่ยงต่ำ ผู้รับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์ในทันทีหลังทำและคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือใช้เวลาพักหน้า

ข้อจำกัด
ไฮฟู่ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเบาถึงปานกลาง หากมีริ้วรอยลึกมากอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเท่าการผ่าตัดดึงหน้า และผลลัพธ์ของ ไฮฟู่ จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อทำซ้ำทุก 6-12 เดือน

ความเจ็บปวด
ไฮฟู่ มีระดับความเจ็บปวดที่ต่ำถึงปานกลาง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ เช่น แนวกรอบหน้าจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถบรรเทาความเจ็บได้ด้วยการทายาชาก่อนทำ

2. ฟิลเลอร์ (Filler)

จุดเด่น
ฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อช่วยเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับ ใต้ตา หรือปรับรูปหน้าให้ดูอวบอิ่มและมีมิติมากขึ้น ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์สามารถเห็นได้ทันทีและสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

ข้อจำกัด
ฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มในบางจุดของใบหน้า เช่น ร่องแก้มหรือใต้ตา แต่ไม่เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวในลักษณะที่ต้องการสร้างคอลลาเจน และหากฉีดฟิลเลอร์มากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติได้

ความเจ็บปวด
การฉีดฟิลเลอร์อาจมีความเจ็บเล็กน้อยเนื่องจากการใช้เข็มในการฉีด และอาจรู้สึกไม่สบายขณะสารเติมเต็มเข้าสู่ผิว

3. การร้อยไหม

จุดเด่น
การร้อยไหมเป็นเทคนิคที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าด้วยการใช้ไหมละลายสอดเข้าไปในผิวชั้นลึกเพื่อดึงผิวขึ้น ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ชัดเจนทันทีหลังทำ และไหมจะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม ทำให้ผิวตึงกระชับในระยะยาว ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปีขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้

ข้อจำกัด
การร้อยไหมอาจมีอาการบวมและอาการระบมหลังทำ และในบางกรณีอาจเกิดการติดเชื้อหรือมีการเคลื่อนที่ของไหม ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ในการทำ หากทำไม่ถูกวิธีหรือใช้ไหมที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติได้

ความเจ็บปวด
การร้อยไหมมีระดับความเจ็บปวดปานกลางถึงสูง เนื่องจากเป็นการใส่ไหมเข้าไปในชั้นผิว แต่สามารถใช้ยาชาหรือยานอนหลับแบบอ่อนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดได้

4. การผ่าตัดดึงหน้า

จุดเด่น
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการยกกระชับผิวที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุด เนื่องจากเป็นการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนเกินออก และยกกระชับชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้หลายปี ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมากและต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้ในระยะยาว

ข้อจำกัด
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการทำศัลยกรรมที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึงหลายสัปดาห์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็น การติดเชื้อ และการช้ำบวมสูงกว่าการยกกระชับใบหน้าแบบอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการอื่น

ความเจ็บปวด
การผ่าตัดดึงหน้าจะมีระดับความเจ็บปวดสูงกว่าวิธีอื่นๆ เนื่องจากต้องใช้การผ่าตัดเปิดแผล แต่แพทย์จะใช้ยาสลบหรือยาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดขณะทำ และหลังทำแพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดให้เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดระหว่างการฟื้นตัว

ข้อดีของการทำ Hifu

การทำ ไฮฟู่ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องเจ็บตัวและพักฟื้นนาน นี่คือข้อดีที่ชัดเจนของการทำ ไฮฟู่

  • ไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม
    ไฮฟู่ เป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีแผลเป็น และไม่ต้องใช้เข็มในการรักษา
  • ไม่ต้องพักฟื้น
    หลังทำ ไฮฟู่ ผู้รับบริการสามารถกลับไปทำงานและทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
    การทำ ไฮฟู่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายใน ส่งผลให้ผิวดูเต่งตึงและยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ

ข้อจำกัดของ Hifu ที่คุณควรรู้

แม้ ไฮฟู่ จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ:

  • ไม่เหมาะกับริ้วรอยลึก
    ไฮฟู่ จะช่วยยกกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถเติมเต็มริ้วรอยลึกได้ หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ดูเต็มขึ้น การเลือกทำฟิลเลอร์อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
  • ต้องทำซ้ำเพื่อผลลัพธ์ที่คงอยู่
    การทำ ไฮฟู่ ต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ โดยส่วนใหญ่ควรทำทุก 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและอายุ

สรุป

การทำ ไฮฟู่ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือเจ็บเล็กน้อยในบางคน แต่ระดับความเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันไปตามปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความไวของผิวและประสบการณ์ของแพทย์ ในภาพรวม การทำ ไฮฟู่ ถือว่าเป็นวิธีการยกกระชับผิวที่ปลอดภัย ไม่เจ็บมาก และมีผลลัพธ์ที่คุ้มค่า จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าและลำตัวแบบไม่ต้องผ่าตัด

หากคุณกำลังพิจารณาทำ ไฮฟู่ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลจะช่วยให้คุณมั่นใจและได้รับผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

อ่านบทความอื่นเกี่ยวกับ HIFU ได้ที่นี้