น้ำตาลในเลือด เข้าใจง่ายๆ และวิธีการตรวจวัดระดับน้ำตาลที่ถูกต้อง

หัวข้อในบทความนี้

น้ำตาลในเลือดเป็นหนึ่งในสิ่งที่หลายคนอาจไม่ค่อยให้ความสนใจจนกว่าจะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น แม้ว่าน้ำตาลในเลือดจะเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของร่างกาย แต่การมีระดับน้ำตาลที่ไม่เหมาะสมสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้อย่างรุนแรง เช่น การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

น้ำตาลในเลือดคืออะไร?

น้ำตาลในเลือด (Blood Sugar) หรือ กลูโคส เป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การเคลื่อนไหวไปจนถึงการทำงานของสมอง
โดยน้ำตาลในเลือดจะถูกดึงจากอาหารที่เรากินเข้าไปและถูกขนส่งผ่านกระแสเลือดไปยังเซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการผลิตพลังงาน
ในภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงเกินไปหรือมีน้อยเกินไป ร่างกายจะทำงานผิดปกติและเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

ความสำคัญของน้ำตาลในเลือดสำหรับร่างกาย

น้ำตาลในเลือดมีความสำคัญเนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหายใจ การเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การคิด
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัว หรือแม้กระทั่งเป็นลม ในทางกลับกัน ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป จะทำให้เกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงได้

อาการที่บ่งบอกว่า “น้ำตาลในเลือด” อาจผิดปกติ

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงหรือสูงเกินไปอาจไม่แสดงอาการทันที แต่ในระยะยาวอาจมีอาการต่าง ๆ เช่น

  • ปัสสาวะบ่อย
  • กระหายน้ำตลอดเวลา
  • ความรู้สึกอ่อนเพลีย
  • การมองเห็นเบลอ

วิธีตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดและการดูผล

การตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีที่สำคัญในการประเมินสุขภาพ และหากทำการตรวจอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ทันเวลา
วิธีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดมีหลายวิธี แต่ละวิธีจะเหมาะสมกับการวัดในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบฟาสติ้ง (Fasting Blood Sugar)

การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบฟาสติ้งคือการตรวจน้ำตาลในเลือดหลังจากที่ไม่ได้ทานอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
การตรวจวิธีนี้จะช่วยให้สามารถประเมินระดับน้ำตาลในเลือดในสภาวะที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร จึงเป็นวิธีที่ใช้ในการตรวจหาโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

การตรวจน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร (Postprandial Blood Sugar)

การตรวจน้ำตาลหลังมื้ออาหารช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดที่เกิดจากการย่อยอาหาร เมื่อรับประทานอาหารแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้น
การตรวจนี้จะช่วยให้ทราบว่าอาหารที่ทานเข้าไปมีผลต่อน้ำตาลในเลือดอย่างไร และเหมาะสำหรับการตรวจเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหลังมื้ออาหาร

การใช้เครื่องมือที่บ้านในการตรวจน้ำตาลในเลือด

ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยให้การตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นเรื่องง่าย สามารถตรวจได้เองที่บ้าน ด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดแบบพกพา
การตรวจด้วยตัวเองที่บ้านช่วยให้สามารถติดตามระดับน้ำตาลในเลือดได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องไปที่คลินิกทุกครั้ง

น้ำตาลในเลือด

ค่าน้ำตาลในเลือดปกติ: ตารางเปรียบเทียบระดับน้ำตาลที่ควรทราบ

การทราบ ค่าน้ำตาลในเลือดปกติ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากการมีระดับน้ำตาลที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยป้องกันภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าน้ำตาลที่ควรระวังและตรวจสอบความปกติของระดับน้ำตาลในเลือด

น้ำตาลในเลือด 140 ค่าน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปหรือไม่?

ระดับน้ำตาลในเลือดที่ 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง ถือว่าเป็น ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะ น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) หรือภาวะ Pre-diabetes หากพบค่านี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจสอบเพิ่มเติม

น้ำตาลในเลือด 120 ปกติไหม?

เมื่อทดสอบน้ำตาลในเลือดช่วงฟาสติ้ง (หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง) ระดับน้ำตาล 120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเกินเกณฑ์ปกติไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ถือว่าเป็น เบาหวาน ทันที ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณของ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงก่อนเป็นเบาหวาน (Pre-diabetes) การตรวจซ้ำและปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

น้ำตาลในเลือด 110 ปกติไหม?

ระดับน้ำตาลในเลือดที่ 110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในการทดสอบแบบฟาสติ้ง (หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง) ก็ยังถือว่า สูงกว่าปกติเล็กน้อย และอาจเป็นการบ่งบอกถึงภาวะ Pre-diabetes หรือภาวะเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นเบาหวานได้ในอนาคต ถ้าพบค่าที่สูงกว่าปกติบ่อย ควรมีการติดตามและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการกินและออกกำลังกาย

น้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่?

การตรวจน้ำตาลในเลือดจะมีการแบ่งช่วงค่าเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นตารางที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่าน้ำตาลในเลือดเพื่อความเข้าใจที่ง่าย

ระดับน้ำตาลในเลือดคำอธิบาย
70–99 mg/dLปกติ น้ำตาลในเลือดปกติในช่วงเวลาเช้าหรือฟาสติ้ง
100–125 mg/dLภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Pre-diabetes) ระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงเกินไป ควรปรับพฤติกรรม
126 mg/dL หรือสูงกว่าเบาหวาน การตรวจน้ำตาลในเลือดที่สูงเกิน 126 mg/dL ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน

ค่าที่ควรระวัง น้ำตาลในเลือดสูงและต่ำเกินไป

น้ำตาลในเลือดสูงเกินไป
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป (เกิน 140 mg/dL หลังอาหารหรือ 126 mg/dL ในการตรวจฟาสติ้ง) อาจเป็นสัญญาณของโรค เบาหวาน ซึ่งควรมีการตรวจซ้ำและการปรึกษาแพทย์เพื่อปรับวิธีการรักษา

น้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
น้ำตาลในเลือดต่ำ (ต่ำกว่า 70 mg/dL) อาจทำให้เกิดอาการ เช่น เวียนหัว เหนื่อยล้า หรือหมดสติ การรักษาในทันทีด้วยการทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงจะช่วยฟื้นฟูระดับน้ำตาลให้กลับมาปกติ

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เมื่อไหร่ต้องกังวล?

สาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากเกินไป
  • ความเครียดที่ทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินไม่สมดุล
  • โรคเบาหวานหรือการใช้ยาบางชนิด

อาการที่มักพบเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป

  • ปัสสาวะบ่อย
  • กระหายน้ำมาก
  • เหนื่อยล้าหรือรู้สึกเบื่อหน่าย
  • การมองเห็นเบลอ

ผลกระทบระยะยาวของน้ำตาลในเลือดสูง (เบาหวานและโรคอื่น ๆ)

หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดและอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต และตา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคไตเรื้อรังหรือการสูญเสียการมองเห็น

น้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงเบาหวาน รู้ก่อนเป็นภาวะเบาหวาน

ค่าน้ำตาลในเลือดสูงที่ส่งผลต่อการพัฒนาเบาหวาน

การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปอย่างต่อเนื่องจะทำให้เซลล์ของร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่ไม่ร้ายแรงแต่ต้องควบคุม

บางครั้งการมีน้ำตาลในเลือดสูงเล็กน้อยอาจไม่ทำให้เกิดอาการทันที แต่ก็เสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคเบาหวานหากไม่ทำการควบคุม ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือด

Q: น้ำตาลในเลือดปกติเท่าไหร่?
A: น้ำตาลในเลือดที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 70–100 mg/dL เมื่อทดสอบในขณะอดอาหาร และต่ำกว่า 140 mg/dL หลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง

Q: การตรวจน้ำตาลในเลือดต้องทำบ่อยแค่ไหน?
A: สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน ควรตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์

Q: การมีน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง?
A: ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่องสามารถนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต และความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง


สรุปและคำแนะนำ

การตรวจวัด น้ำตาลในเลือด อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีการที่สำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณ และสามารถป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือ เบาหวาน ได้โดยตรง

ดูบริการของเราที่นี้

Contact Siam Clinic Phuket